top of page
รูปภาพนักเขียนแอดมินแก้ว

รีวิว Galaxy Tab S9 FE | ราคาจับต้องได้ แต่ฟีเจอร์แน่นเหมือน Flagship พร้อมเทียบ Galaxy Tab S7 FE

อัปเดตเมื่อ 17 ต.ค. 2566

สวัสดีครับทุกคนแก้วจาก Mobile Photographer นะครับ สำหรับวันนี้เราอยู่กับ Samsung Galaxy Tab S9 FE ซึ่งเป็น Tablet ใน Series คุ้มค่าจากทาง Samsung ที่เพิ่งเปิดตัวออกมานะครับ โดยประสิทธิภาพตัวเครื่อง เน้นไปที่กลุ่มที่ใช้งาน ในการเรียน การทำงาน และมี Entertainment ควบคู่กันด้วยเป็นหลัก ในราคาที่ถูกกว่ารุ่นเรือธงพอสมควร จะน่าใช้แค่ไหน และคนที่ใช้ Samsung Galaxy Tab S7 FE อยู่ คุ้มไหมที่จะอัปเกรด ? ไปดูรีวิวกันครับ

DESIGN : การออกแบบ

การออกแบบตัวเครื่องของ Samsung Galaxy Tab S9 FE นั้น จะค่อนข้างมีความคล้ายคลึงกับ Samsung Galaxy Tab S9 ที่เป็นรุ่นเรือธงเกือบทั้งหมดเลยครับ ไม่ว่าจะเป็นขนาดตัวเครื่อง น้ำหนัก และการจัดวางสิ่งต่าง ๆ รอบ ๆ ตัวเครื่อง ก็คือ เหมือนกันมากเลยครับ

วัสดุของตัวเครื่อง ตั้งแต่ในส่วนของฝาหลัง ไปจนถึงกรอบตัวเครื่อง จะเป็น Full Metal หรือว่าเป็นโลหะทั้งหมดเลยครับ มาพร้อมกับการกันน้ำกันฝุ่น IP Rating IP68 และ Build Quality ที่ดีมาก จับถือแล้วให้ความรู้สึก Premium ไม่ต่างจากรุ่นพี่เลยครับ

ถ้าเราเอามาเทียบกับ Samsung Galaxy Tab S7 FE เราจะพบว่า ตัว Samsung Galaxy Tab S9 FE นั้น จะมี Frame ตัวเครื่องที่มีความ Flat กว่า และฝาหลังจะป้องกันรอยนิ้วมือได้ดีกว่า รวมไปถึง Feeling ในการจับถือในภาพรวมก็ดีกว่าแบบรู้สึกได้ และสีสันก็จะมีความสว่างกว่า เล่นแสงสวยกว่าอยู่พอสมควรเลยครับ

DISPLAY : หน้าจอ

หน้าจอของ Samsung Galaxy Tab S9 FE เครื่องนี้จะมีขนาดอยู่ที่ 10.9 นิ้ว ใช้ Panel หน้าจอเป็น LCD IPS ที่มีความละเอียดอยู่ที่ WUXGA+ หรือประมาณ 2K นั่นเองนะครับ และได้รับการอัพเกรดค่า Refresh Rate หน้าจอจากรุ่นที่แล้ว ขึ้นมาที่ 90Hz

ซึ่งถ้าเราเอา Samsung Galaxy Tab S7 FE รุ่นที่แล้วมาเปรียบเทียบกัน จะเห็นได้ว่า Galaxy Tab S7 FE มีขนาดหน้าจอที่ใหญ่กว่าคือ 12.4 นิ้ว ซึ่งถ้าใครชอบหน้าจอขนาดใหญ่ก็มีตัว Galaxy Tab S9 FE+ มาให้เลือกเช่นกัน โดยเขาให้มาที่ 12.4 นิ้วเท่ากันเลย นอกจากนี้ คุณภาพหน้าจอของ Galaxy Tab S9 FE ไม่ว่าจะเป็น คุณภาพ Panel หน้าจอ การแสดงผลสีสันต่าง ๆ ไปจนถึงตัว Refresh Rate ที่ อัปเกรดจาก 60Hz มาเป็น 90Hz เรียบร้อยแล้วก็ทำให้ความลื่นไหลของ Animation บนหน้าจอนั้น ดูสบายตามากขึ้นครับ

หรือ จะเป็นในเวลาที่เรานำ Samsung Galaxy Tab S9 FE เครื่องนี้ ไปใช้งานในรูปแบบ Entertainment ทั้งการรับชม Content Streaming ผ่าน Platform ต่าง ๆ สามารถแสดงผลได้ที่ความละเอียดสูงสุด ให้สีสัน และ Contrast ที่สวย ถึงแม้ว่าจะเป็น Panel หน้าจอแบบ LCD-IPS ก็ตาม

อีกหนึ่งจุดที่ Samsung Galaxy Tab S9 FE ทำได้ดีกว่ารุ่นก่อนหน้านี้แบบชัดเจน ก็คือ ในเรื่องความ สว่างหน้าจอ และ Peak Brightness ครับ ซึ่งใน Spec จะเขียนเท่ากันอยู่ที่ 600 nits แต่เมื่อใช้งานจริงพบว่า Samsung Galaxy Tab S9 FE จะมีความสว่างจอที่มากกว่า และยังมี Vision Booster ทำให้ เห็นรายละเอียดได้ดีกว่า เวลาเอาออกไปใช้งานนอกบ้าน ก็สามารถจะเห็นรายละเอียดบนหน้าจอ ได้อย่างชัดเจนครับ

แถม S PEN มาให้เลยในกล่อง

แก้วเชื่อว่าหลาย ๆ คนที่เคยมีโอกาสได้ใช้งานปากกา S Pen มาก่อน ไม่ว่าจะอยู่บนอุปกรณ์ไหนก็ตาม จะต้องติดใจในความลื่นไหลในการขีดเขียน ไปจนถึง Smart Features ที่เขาใส่เข้ามาให้แบบเต็ม ๆ เหมือนกับรุ่นพี่เลย และใน Samsung Galaxy Tab S9 FE เขาก็แถม S Pen มาให้ในกล่องแบบฟรี ๆ เลยครับ

ซึ่งตัวหน้าตาของ S Pen ของ Samsung Galaxy Tab S9 FE ที่แถมมานั้น จะมีสีสันตัวปากกา และขนาดที่แตกต่างจาก S Pen ของ Samsung Galaxy S7 FE อยู่เล็กน้อยนะครับ

ตัวปากกา S Pen ใน Samsung Galaxy Tab S9 FE จะได้รับการปรับปรุงในเรื่องของ น้ำหนักการกดมาใหม่ ทำให้เราสามารถลงน้ำหนักได้มากขึ้น และให้ความรู้สึกเหมือนกับการใช้ปากกาจริง ๆ ได้มากขึ้นนั่นเอง

พอมาอยู่บน หน้าจอที่มี Response รวดเร็วขึ้น การเขียน การวาด หรือการใช้งานทั่ว ๆ ไป จะให้ความรู้สึกที่ดี ไม่แพ้กับรุ่นพี่ Galaxy Tab S9+ ที่แก้วรีวิวไปก่อนหน้านี้เลย

ฟีเจอร์สุดสมาร์ท ของ S PEN

รวมไปถึง ฟีเจอร์ล้ำ ๆ ในตัวปากกา S Pen ก็จัดมาให้กันแบบครบ ๆ ทั้งการ เคาะที่หน้าจอ 2 ครั้ง เพื่อเปิด App Notes แบบด่วน จดได้ทันที ไม่ต้องเสียเวลา Unlock เครื่องก่อน เวลาเผลอนึกอะไรขึ้นมาได้ หรือเจออะไรที่ต้องรีบจด ฟีเจอร์นี้ดีมาก

ระหว่างการจด ถ้ารู้สึกว่า อยากได้ภาพมาประกอบใน Notes เราด้วย ก็ไม่ต้องเสียเวลา Copy มาวาง สามารถลากภาพจาก App อื่นเข้ามาวางได้เลยครับ ไม่เว้นแม้กระทั่ง Video ที่เรากำลังรับชมอยู่ ก็สามารถจะ Capture หรือ Die cut บางส่วนเข้ามาใน Notes ได้เลยครับ

การอัดวีดีโอไปจดโน้ต ไปได้ด้วย พร้อม ๆ กัน จริง ๆ ฟีเจอร์นี้ไม่ใช่แค่นักศึกษาที่ใช้ดีนะ คนทำงานแบบแก้วก็มีโอกาสได้ใช้บ่อย เวลาประชุมกับลูกค้า อีกทั้ง เรายังสามารถสร้าง Audio Bookmark บันทึกเสียงใส่ลงไปในตัว Notes ของเราได้ด้วย

หลาย ๆ ครั้งเวลาที่เวลาแก้ว มีต้องทำงานกับต่างชาติ ตอนเขาส่งเอกสาร หรือ อีเมลที่เป็นภาษาอังกฤษมา แล้ว เจอคำ เจอประโยคที่เราอ่านแล้วไม่ Get ไม่เข้าใจ ก็สามารถจะใช้ S Pen ในการ Real time Translate ได้เลย แปลทั้งประโยคก็ได้ ฟีเจอร์นี้คือแบบ โคตร Love เซฟชีวิตแก้วมาหลายรอบแล้ว

หรือใครดู Series ที่ Subtitle เป็น Eng ก็สามารถจะใช้ Real time Translate ตัวนี้แปลได้เหมือนกัน คือ ขอให้มันเป็นภาพ แล้วอ่านออกได้ชัดเจน สามารถแปลได้หมดเลยครับ

อีกฟีเจอร์ที่แก้วมีโอกาสใช้งาน S Pen ค่อนข้างบ่อย คือ เวลาที่เราต้องการ Search หาข้อมูลต่าง ๆ จาก Search Engine เราไม่ต้องไป Activate ตัว Keyboard ขึ้นมาพิมพ์ให้เสียเวลา เราใช้ S Pen นี่แหละ เขียนลงไปในช่องได้เลย แล้วเขาจะแปลงมาเป็น Text ให้เอง ซึ่งรองรับภาษาไทยด้วยนะ ความแม่นยำก็ถือว่าใช้ได้เลย

PERFORMANCE : ประสิทธิภาพ

Chipset ของ Samsung Galaxy Tab S9 FE นั้น จะใช้ Exynos 1380 มี RAM มาให้ทั้งหมด 6GB และ Storage 128GB ใส่ microSD เพิ่มได้สูงสุดที่ 1TB ในส่วนของตัว Connectivity จะเป็น Wifi 6 | Bluetooth 5.3 ความจุ Battery อยู่ที่ 8,000 mAh รองรับการชาร์จเร็วแบบเสียบสายอยู่ที่ 45W ครับ

สำหรับ Performance ตัวเครื่องในการใช้งานจริง ของ Samsung Galaxy Tab S9 FE ในเรื่องของการใช้งานทั่วไป ในการทำงาน ใช้ Application จาก Google หรือ Social Media สามารถใช้งานได้อย่างลื่นไหล

การเปิด Application แบบ Multitasking ใช้งานหลายหน้าจอ ก็ทำงานได้ดี หรือจะเป็นการใช้งาน DeX Mode ต่อเข้ากับหน้าจอต่าง ๆ ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะโหลดช้า หรือว่ารอนานเลย ซึ่งจุดนี้ทำได้ดีกว่า Samsung Galaxy Tab S7 FE มากพอสมควร

จะเอามาตัดต่อ Video ด้วย CapCut , Adobe Premiere Rush ถ้า Resolution ของ Footage นั้นมีขนาดไม่เกิน FHD ก็ทำได้สบาย ๆ หรือ จะส่งภาพเข้ามาแต่ง มาปรับสีด้วย Lightroom ก็ทำได้สบายครับ ไม่ค้างไม่หน่วงเลย

ตอนนี้ทุกคนจะเห็นแล้วว่า Experience ในหลาย ๆ ด้านนั้น Samsung Galaxy Tab S9 FE ทำได้ดีกว่ารุ่นที่แล้ว แต่จุดที่จะเห็นได้แบบชัดเจนมาก ๆ คือ การเล่นเกมครับ ด้วย Chipset ใหม่ที่มาจากทาง Samsung เอง อย่าง Exynos 1380 และ RAM ที่เพิ่มขึ้นมาเป็น 6GB

ซึ่งมีประสิทธิภาพมากกว่า Snapdragon 750G ที่อยู่ใน Samsung Galaxy Tab S7 FE อยู่ถึง 25% - 30% โดยเฉลี่ย นั่นทำให้เราสามารถเล่นเกมที่มีความหลากหลายมากขึ้นได้ ยิ่งถ้าเป็น Game Graphic สูง ๆ ในแนว MMORPG จะยิ่งเห็นผลชัดเลยครับ

เกมที่แก้วเล่น และนำมาทดสอบให้ทุกคนดู ก็คือ Legend of neverland และ Traha Global ซึ่ง Graphic Setting ที่เราทำได้ใน Samsung Galaxy Tab S9 FE นั้นจะอยู่ที่ High จนถึง Ultra และมี Frame Rate ที่มากกว่า 60fps ตลอดเวลา บางครั้งก็ทะลุ 100 ขึ้นไปเลย

แต่ในทาง Samsung Galaxy Tab S7 FE นั้น ถึงแม้ Graphic Setting จะปรับได้เกือบสุด ใกล้เคียงกัน แต่ปัญหาคือ Frame Rate โดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ ต่ำกว่า 50 ต้น ๆ เท่านั้น และยิ่งเล่นนาน Frame Rate ยิ่ง Drop ลงเรื่อย ๆ ด้วยครับ

CAMERA : กล้องถ่ายภาพ

ในส่วนของกล้องถ่ายภาพกันบ้างนะครับ Samsung Galaxy Tab S9 FE เครื่องนี้ จะมีกล้องทั้งหมด 2 ตัว

  • กล้องหลังความละเอียด 8MP | ถ่ายวิดีโอได้ที่ Full HD 30fps

  • กล้องหน้าความละเอียด 12MP Ultra wide | ถ่ายวิดีโอได้ที่ 4K 30fps

คุณภาพของไฟล์ภาพ ในกล้องหลัง นั้นเพียงพอต่อการใช้งานทั่วไป ถ่ายภาพส่งให้เพื่อน สแกนเอกสาร ถ่ายอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ มาประกอบ Notes ถือว่าโอเคเลย แล้วก็ยังมีพวก Mode การถ่ายภาพพื้นฐานมาให้ค่อนข้างครบถ้วน

ส่วนคุณภาพของไฟล์ภาพในกล้องหน้า อันนี้ทำได้ดีเกินคาดเลย มีองศาในการรับภาพที่กว้างมาก ๆ และเวลาที่เราใช้งานร่วมกับ Mode Portrait ก็สามารถที่จะปรับละลายฉากหลังได้สวย และ แก้ Distortion ให้เราอัตโนมัติเลย

ตัวงานวิดีโอก็ทำออกมาได้พอ ๆ กับภาพนิ่ง ก็คือ กล้องหน้าจะมี Resolution ที่ใหญ่กว่า และคุณภาพไฟล์ที่ดีกว่า สามารถใช้ในการอัด Video เพื่อพรีเซนต์งาน หรือถ้าจัดแสงดี ๆ หน่อยจะถ่ายลง YouTube ก็ยังทำได้สบาย

BATTERY LIFE : แบตเตอรี่ และการใช้งานต่อเนื่อง

ตัว Battery Life ของ Samsung Galaxy Tab S9 FE นั้น ถ้าเป็นการใช้งานตามปกติในชีวิตประจำวัน มีการใช้งาน Social Media ใช้ Application ในการทำงานไม่ว่าจะเป็นการแต่งภาพ หรือตัดต่อ ที่ใช้พลังการประมวลผลเยอะ ไปจนถึงการใช้งาน Entertainment ทุกรูปแบบ ผ่าน Wi-Fi โดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ 13 ชั่วโมง และถ้าเป็น 5G จะอยู่ที่ 9 - 10 ชั่วโมงครับ

การชาร์จ Battery ก็ถือว่าทำได้ค่อนข้างเร็วนะ ด้วยความที่ให้กำลังไฟสูงสุดในการชาร์จมาอยู่ที่ 45W และ ตัวแก้วเองก็มี Adapter 45W จาก Samsung Galaxy S23+ อยู่แล้ว เอามาใช้ด้วยกันได้เลย ใช้เวลาประมาณ ชั่วโมงครึ่ง Battery 8,000 mAh ก็เต็มแล้วครับ ( ช่วง 50% ชาร์จไวมาก )

CONCLUSION : เหมาะกับใคร และน่าอัปเกรดไหม ?

แล้ว Samsung Galaxy Tab S9 FE ตัวนี้ เหมาะกับใครบ้าง ? แน่นอนว่าก็ต้องเหมาะกับคนที่อยากได้ Tablet ราคาไม่สูงมาก แต่มีประสิทธิภาพที่เพียงพอ จะใช้งานได้ในทุก ๆ ด้าน รวมไปถึงมีขนาดตัวเครื่องที่พกพาได้สะดวก

น้อง ๆ นักเรียน นักศึกษา สามารถนำไปใช้ในการเรียนได้สบาย หรือ คนวัยทำงาน ก็สามารถจะใช้ในการทำงานนอกสถานที่ พกพาไปใช้ในการ Present งานกับลูกค้า ก็ดู Professional พอพักจาก การเรียน การทำงาน ก็ยังเป็น Entertainment Device ให้กับเราได้ด้วย


ส่วนคนที่ใช้ Galaxy Tab S7 FE อยู่แล้ว ถ้าอัปเกรดมาเป็น Samsung Galaxy Tab S9 FE เครื่องนี้ จะคุ้มค่าไหม ? ต้องบอกว่า ประสบการณ์ในการใช้งานในภาพรวม ที่จะได้รับ จะดีขึ้นค่อนข้างชัดเจนในทุกส่วน โดยเฉพาะ ประสิทธิภาพของตัว Chipset ความ Smooth ของหน้าจอ 90Hz และ OneUI เวอร์ชั่น 5.1.1 ที่มีฟีเจอร์อำนวยความสะดวกที่หลากหลาย และฉลาดมากขึ้น


ไปจนถึง DeX Mode ที่เสถียรขึ้น มี Response ที่รวดเร็วขึ้น ต่อการใช้งาน Multitasking เหมือนรุ่น Tablet รุ่นเรือธง อย่าง Galaxy Tab S9 Series เลยล่ะครับ

ราคา และวันวางจำหน่าย

Samsung Galaxy Tab S9 FE Series วางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในวันที่ 4 ตุลาคม 2566 ผ่านช่องทางออนไลน์บนเว็บไซต์ samsung.com และ Samsung Official Store บน Shopee และ Lazada หรือหน้าร้านที่ Samsung Experience Store และร้านค้าที่ร่วมรายการ โดยมีราคาดังนี้  


• Galaxy Tab S9 FE Wi-Fi (6/128GB) : 16,990 บาท

• Galaxy Tab S9 FE 5G (6/128GB) : 19,990 บาท

• Galaxy Tab S9 FE+ Wi-Fi (8/128GB) : 23,900 บาท

• Galaxy Tab S9 FE+ 5G (8/128GB) : 27,900 บาท


โปรโมชันช่วงเปิดตัว แถมฟรี Smart Book Cover มูลค่าสูงสุด 2,990 บาท สำหรับการสั่งซื้อ Galaxy Tab S9 FE Series ตั้งแต่วันที่ 4 ตุลาคม ถึงวันที่ 5 พฤศจิกายน 2566

 

[ ติดตาม Mobile Photographer ได้ที่ ]

0 ความคิดเห็น

Comments


bottom of page