top of page
รูปภาพนักเขียนแอดมินแก้ว

OPPO Find X5 Pro เสริมพลังด้วย Hasselblad กับ XPAN ที่ถ่ายสนุกได้อารมณ์

สวัสดีครับทุกคน วันนี้แก้วอยู่กับ OPPO Find X5 Pro สมาร์ทโฟน Flagship ประจำปี 2022 จาก OPPO ที่ได้ Hasselblad มาช่วยออกแบบประสบการณ์ในการถ่ายภาพให้ หลังจากที่ได้พาสมาร์ทโฟนเครื่องนี้ไปออกทริปในต่างจังหวัดมา ราวๆ 2 สัปดาห์ ตอนนี้ก็ได้เวลาที่จะมารีวิวให้กับทุกคนได้ฟังแล้วครับ ไปลุยกันเลย

SPECIFICATION
  • Display AMOLED LPTO ขนาด 6.7 นิ้ว | WQHD+ | Refresh Rate 120Hz

  • Operation System ColorOS 12.1 Base on Android 12

  • Qualcomm Snapdragon 8 Gen 1 | MariSilicon X Imaging NPU

  • RAM 12GB | ROM 256GB

  • 5000mAh | 80W SUPERVOOC | 50% in 12 mins

  • 50W AIRVOOC Full Chrage in 47 mins

  • ระบายความร้อนด้วย Cutting-edge Graphene film และ Vapor Chamber

  • USB-C | Stereo Speaker Dolby Atmos | e-SIM

WHAT'S IN THE BOX

อุปกรณ์ภายในกล่องก็ให้มาค่อนข้างจะครบถ้วนเลย ดังนี้ครับ

  • ตัวเครื่อง OPPO Find X5 Pro

  • เคสแบบนิ่ม ( ดูดี แข็งแรงมาก )

  • Adapter Charge 80W | พร้อมสาย

  • SIm card Ejector | คู่มือการใช้งาน

DESIGN : การออกแบบ

ภาพรวมการ Design ของ OPPO Find X5 Pro นั้น ยังคงความ Seamless ของตัวเครื่องเอาไว้เหมือนเดิม ฝาหลังเป็นชิ้นเดียวกันแบบ OPPO Find X3 Pro เมื่อปีที่แล้ว ซึ่งจริงๆ แล้วแก้วชอบตัวนั้นมากเลยนะ รอยนิ้วมือขึ้นยากมากๆ

ครั้งนี้วัสดุของตัวฝาหลังได้เปลี่ยนมาเป็น Ceramic แทน ซึ่งทำให้มันดูหรูหรามากขึ้น มองเห็นความ Glossy เบาๆ ตามขอบตัวเครื่อง และพอมันเป็นสีขาวแบบนี้ จริงๆ รอยนิ้วมือมันติดง่ายนะ แต่เราแทบจะมองไม่เห็นมันเลย

ความหนาของตัวเครื่อง ก็ถือว่าไม่ได้หนามาก อยู่ที่ 8.5mm พร้อมกับน้ำหนัก 218 กรัม กับขนาดตัวเครื่องที่ไม่ได้ใหญ่มาก สามารถจะใช้งานมือเดียวได้ค่อนข้างสะดวก ปุ่ม Power จะอยู่ทางขวา ปุ่ม Volume up - down จะอยู่ทางซ้ายมือ

ขอบของตัวเครื่องทั้งหมด จะเป็น โลหะ บริเวณด้านล่างจะมี Port USB-C และช่องลำโพง ที่เป็น Stereo Speaker และ ช่องใส่ SIM สามารถใส่ได้ 2 ซิม และรองรับ E-Sim ครับผม

DISPLAY : หน้าจอ

ขนาดหน้าจอของ OPPO Find X5 Pro นั้นอยู่ที่ 6.7 นิ้ว ซึ่งก็ตามมาตราฐานของ Flagship ในปีนี้ พร้อมความละเอียด WQHD+ มีค่า Refresh Rate 120Hz | Touch Sampling 1000Hz และ Panel เป็นแบบ LTPO ขอบเขตสีแบบ 10 bit Bionic Display กระจกหน้าจอเป็น Corning Gorilla Glass Victus

คุณภาพในการแสดงผลของหน้าจอ คือไม่รู้จะหาข้อติอะไรเลยจริง ความคม สีสัน Feeling ในการ Touch คือดีมากๆ ไหนจะพวก Features หน้าจอที่เราสามารถปรับแต่งสิ่งต่างๆ ได้เยอะมากเลย ทั้ง HDR10+ และ O1 Ultra Vision Engine ช่วยให้ Content ความละเอียดต่ำ ยังแสดงผลแบบ 4K ได้คมชัด

นอกจากนั้นยังมี Features ยิบย่อยอีก เช่น การปรับโทนสีหน้าจอ ให้เหมาะสมกับสภาพแสงที่เราอยู่ Mode Eye comfort สำหรับอ่าน E-Book ซึ่งกับคนที่ต้องใช้ Smartphone เครื่องเดียวกับงานที่หลากหลายเนี่ย OPPO ทำตรงนี้มาได้ดีมากๆ

CAMERA : กล้องถ่ายภาพ

ชุดกล้องหลังของ OPPO Find X5 Pro นั้นจะมีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 3 ตัวนะครับ โดยมีการร่วมมือกับทาง Hasselblad ในการพํฒนา Software การถ่ายภาพ และ Color Science ยังไม่ได้ลงลึกไปถึงขนาดเรื่อง Hardware นะครับ

  • Main Camera 50MP Sony IMX766 ระบบกันสั่น 5-axis OIS f/1.7

  • Ultra-wide 50MP Sony IMX766 f/2.2 องศาการรับภาพ 110 ํ

  • Medium Telephoto Camera 2x 13MP | f/2.4

พร้อมปุ่ม Shutter สีแดง สีส้ม สไตล์ Hasselblad ครับ เสียงเวลากดถ่ายคือ เพราะมาก

MAIN CAMERA : กล้องหลัก 50MP

จริงๆ แล้ว OPPO Find X3 Pro เมื่อปีที่แล้วเนี่ย ก็มีกล้องหลัก และกล้อง Ultra Wide Angle ที่ยอดเยี่ยมมากๆ อยู่แล้ว ในปีนี้ เขาได้ Hasselblad มาช่วย ปรับแต่ง Color Science ใหม่ ให้มีเอกลักษณ์มากขึ้น ซึ่งต้องบอกว่า ต่างจาก Hasselblad ที่อยู่ใน OnePlus 9 Pro เมื่อปีที่แล้วพอสมควรเลย

จุดที่เห็นได้อย่างชัดเจนเลยก็คือ เรื่องของ โทนสี และ Dynamic Range โทนสีใน OPPO Find X5 Pro นั้นจะมีความสดของสี และเฉดของท้องฟ้าที่เป็นเอกลักษณ์ ใครที่เคยใช้ Find X3 Pro มาก่อน จะรู้สึกได้ถึงความแตกต่างที่ชัดเจน

ในเรื่องของ Dynamic Range ต้องบอกว่า Contrast ของกล้องมีความจัดมากขึ้นเล็กน้อย ทำให้ Character ของ Hasselblad ที่มี Dynamic Range กว้างๆ เนี่ย Balance สองสิ่งนี้เข้าด้วยกันได้ค่อนข้างลงตัว

เมื่อเข้าไปในที่แสงน้อย กล้องจะทำการเปิด Night Mode ขึ้นมาให้อัตโนมัติ อย่างภาพนี้จะใช้เวลาอยู่ที่ 2 วินาที ทำให้ตัวโบสถ์ และองค์พระ สว่างขึ้นมากเลยล่ะครับ

องศาการรับภาพของกล้องหลัก ที่กว้างกว่าปกติ ทำให้หลายๆ ครั้งเราแทบจะไม่ต้องใช้กล้อง Ultra Wide Angle ออกมาใช้ถ่าย สถาปัตยกรรม หรือ อาคารใหญ่ๆ เลย และ Quality ของไฟล์กล้องหลัก ก็ดีใช้ได้เลย จะมีเรื่อง HDR ที่ในบาง Situation ไม่สามารถจะกด Highlight ลงมาได้

ในสภาพแสงแบบ Cloudy พบว่า White Balance ยังทำงานได้อย่างแม่นยำอยู่ Texture ของไฟล์ยังคมชัด Noise แทบไม่มีเลย แต่จุดเดิมที่เรายังเจอได้ก็คือ HDR ไม่สามารถจะกด Highlight ลงมาให้เราเองได้แบบอัตโนมัติ ฉะนั้น ถ้าแสง Over มากๆ อย่าลืม ชดเชยแสง -1 , -2 ช่วยได้เยอะเลยครับ

ในแง่ของ Depth of field ด้วยความที่กล้องมีค่า f-stop อยู่ที่ 1.9 ทำให้ การเบลอฉากหลังนั้น Depth จะไม่ได้เยอะมาก เม็ดของ Bokeh ก็จะเป็นเม็ดเล็กๆ ระยะโฟกัสใกล้สุดประมาณ 20 ซม.

ถึง Depth จะน้อย แต่ก็พอที่จะจัดวางฉากหน้าสร้างมิติขึ้นมาได้อยู่ครับ

แต่กล้องหลัก กด Zoom 2x แบบไม่ให้มัน Switch เลนส์กล้องเนี่ย ถ่าย Macro ได้สวยมาก ไฟล์ดีจริงๆ

เอามาถ่ายเครื่องประดับ หรือนาฬิกาก็ยังได้แบบสวยๆ เลยครับ

ULTRA WIDE CAMERA : กล้องมุมกว้าง 50MP

สำหรับกล้องมุมกว้าง ครั้งนี้มาแปลกที่ OPPO ลดความกว้างลงเหลือเพียง 110 ํ คนอื่นอาจจะรู้สึกว่า โหยน้อยจัง ไม่กว้างเลย แต่ระยะนี้แหละ แก้วชอบ เพราะว่าด้วยความกว้างประมาณนี้ Distortion จะต่ำ เส้น Perspective เวลาเราถ่ายภาพสถาปัตยกรรม จะตรงมาก ถ่ายมาแทบไม่ต้องมาแก้เลย

เวลาที่อยู่ในสภาพแสงที่น้อยลง หรือว่า ภายในอาคาร กล้องจะ Switch ไปที่ Night Mode ให้เอง แต่ที่น่าสนใจมากๆ ก็คือ Night Mode เมื่อเราถ่ายเวลากลางวัน มันไม่ได้ อัด Clarity เข้ามาหนัก แต่มันแค่ Balance แสงในส่วนต่างๆ ให้สว่างขึ้นแบบเป็นธรรมชาติเฉยๆ จุดนี้คือทำดีมากทีเดียว

ในเรื่องของโทนสี ต้องบอกว่า กล้อง Ultra Wide Angle มีคุณภาพของไฟล์เท่ากับกล้องหลักเลย คมยันขอบจริงๆ แต่ในเรื่องของสีสัน กล้องหลักจะมีสีสันที่สดกว่าเล็กน้อย ส่วนในแง่ของ HDR คือทำได้ดีพอๆ กัน และเจอการกด Highlight ลงไม่สุด เช่นเดียวกันครับ

พอมาถ่ายรูปในช่วงเวลาที่แสงไม่เข้มมาก และก็ไม่ได้ย้อนแสงอะไร อยากให้สังเกต Character ของกล้องตัวนี้คือ HDR ไม่ได้พยายามจะขุด Shadow ขึ้นมาเลยเหมือนต้องการให้ภาพออกมาเป็นธรรมชาติ ต้องการให้แสงในส่วนต่างๆ มี Dynamic มากที่สุด พอดีคือแสงมันพอดีมากๆ แต่เสียคือ ถ้าอยากจะงัดแสงในส่วนเงาเพิ่ม จะได้ Noise เป็นของแถมมาด้วยครับ

ในกล้อง Ultra Wide Angle นั้น เราสามารถที่จะใช้ Beauty Mode ควบคู่กันไปได้ด้วย โดยที่ไม่ต้องเข้า Mode Portrait เฉพาะ ช่วยให้เราสามารถถ่ายบุคคลในเลนส์ตัวนี้ได้สบายๆ AI ฉลาดด้วยนะ ที่จะเติมแสงให้ตัวเรา ถึงแม้ว่าจะถ่ายย้อนแสงก็ตาม

MEDIUM TELEPHOTO 2X : กล้องเทโฟโต้ระยะกลาง

มาต่อกันที่กล้อง Telephoto หนึ่งเดียวของ OPPO มาตั้งแต่รุ่น OPPO Find X3 Pro ในแง่ของคุณภาพ มันก็ถือว่าเป็นกล้อง Telephoto 2x ที่มีจุดเด่นในเรื่องของคุณภาพไฟล์ ที่ให้ถึง Texture และ โทนสี ที่ใกล้เคียงกับกล้องหลักเลย สีสันอาจจะมีติดเขียวนิดๆ ในบางสภาพแสง แต่ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร

ความสนุกของการใช้เลนส์ตัวนี้ก็คือ ระยะ 50mm หรือ Telephoto 2x เนี่ย เป็นระยะที่ถ่ายภาพได้หลากหลายมาก ไม่ใช่เฉพาะเอาไว้ถ่ายคนนะ เพราะว่าใน ระยะนี้ Distortion จะไม่มีเลย เส้น Perspective และ Scale ของภาพจะมีความตรงความเป็นจริงที่สุด มากกว่ากล้องตัวอื่นๆ

ช่วยให้เรา สามารถที่จะจัด Compose ของสิ่งต่างๆ ได้ง่ายมากขึ้น ยิ่งถ้าใครใช้จนชิน ลองถ่ายภาพมาหลากหลายแนวด้วยกล้องตัวนี้ เหมือนแก้วเนี่ย จะเปลี่ยนใช้กล้องระยะนี้มากกว่ากล้องหลักอีก

ในบางครั้งเราสามารถเอามาใช้ถ่ายเน้นบางส่วนของงานสถาปัตยกรรมก็ได้ และกล้องตัวนี้ยังสามารถ Hybrid Zoom ได้สูงสุด 5x เป็นระดับการซูมที่ยังให้รายละเอียดที่ดีอยู่ ถ้ามากกว่านี้จะเริ่มแตกแล้วครับ

XPAN MODE by Hasselblad

โหมดการถ่ายภาพใหม่จากทาง Hasselblad ที่จะเป็นการปรับอัตราส่วนภาพ ให้มีแนวยาวมากขึ้น ให้ Feeling เหมือน Cinematic Scene มากขึ้น เวลากดถ่ายภาพเมื่อเรากดชัตเตอร์ ภาพจะค่อยๆ เปลี่ยนจากสี Negative มาเป็นสีจริงๆ ก็ให้ Feeling ของกล้อง Hasselblad ได้ดี

สิ่งที่จะทำให้ สัดส่วนภาพแบบนี้ทรงพลังมากขึ้น คือ การวางองค์ประกอบในจุดต่างๆ ในแนวนอน ให้เหมาะสม อาจจะเลือกใช้เส้นนำสายตา หรือ หา Object เด่นๆ สักอย่างมาจัดวางในภาพ โดยวางไว้ Center เนี่ย ง่ายที่สุดแล้ว

ใน Mode XPAN อันนี้แก้วต้องบอกว่าไม่แน่ใจจริงๆ ว่า HDR ทำงานไหม ? แต่จากภาพนี้ แก้วใช้วิธีการชดเชยแสงลงมา -2 แล้วค่อยมาเพิ่ม Shadow ทีหลัง ใน Gallery ของตัวเครื่อง

และก็ไม่ใช่ว่า XPAN จะเอาไปถ่ายได้แค่ไม่กี่อย่างนะ ถ้าเราจัดวางดีๆ มันก็เอามาถ่ายภาพบุคคลได้เหมือนกันครับ อย่างภาพนี้ แก้ววางเส้นรางรถไฟ ให้ลากไปที่บริเวณใบหน้า ใช้เป็นเส้นนำสายตา

การเลือกวาง Object ที่มีสีสันที่เด่นขึ้นมาจากสีของ Scene โดยชอบ ก็จะทำให้ Object นั้นเด่นขึ้นมาได้ง่ายมากๆ ครับ ได้ Feeling แบบ Cinematic ด้วยนะ

PORTRAIT PHOTOGRAPHY : ภาพบุคคล

ครั้งนี้อาจจะลองมาให้ไม่เยอะมากนะครับ เพราะว่า Trip นี้โดยส่วนใหญ่แล้วเดินทางคนเดียว เลยจะตั้งกล้องถ่ายตัวเองมาเป็นตัวอย่างภาพให้ทุกคนได้ดูกัน อยากจะบอกว่า นี่น่าจะเป็น Smartphone ที่ถ่ายคนดูดี และดูสมจริง ไม่หลอก ได้ดีที่สุดของ OPPO แล้ว ทั้ง การไล่ระดับของ Depth of field และ Software Beauty ที่ต่อให้เปิดเยอะ ภาพก็ยังดูไม่ลอยอยู่

การตัดขอบนั้นคือแบบ ไม่รู้จะหาอะไรมาติจริงๆ โคตรจะตัดขอบได้คมมากๆ ลองเอาไปให้คนที่ไม่รู้ว่าใช้มือถือถ่าย บางคนยังดูออกยากเลยว่า นี่คือใช้ Smartphone ถ่าย OPPO ทำการบ้านตรงนี้มาได้ดีมากๆ จุดที่น่าเสียดายจริงๆ ก็คงเป็น มันมาแก้ Depth ทีหลัง หลังจากถ่ายไม่ได้นั่นเองครับ

ในระยะ Telephoto 2x เป็นระยะที่ทำให้สัดส่วนบุคคลเวลาถ่ายภาพ Portrait สมจริง พอมาทำงานคู่กับ Portrait Mode เราจะเห็นการไล่ระดับของการเบลอ ที่ค่อนข้างจะดูเป็นธรรมชาติ พอมารวมกับการวาง Scene ที่ฉากหลังมืดๆ ก็ช่วยให้ตัวแบบในภาพเด่นขึ้นได้ง่ายมากๆ ครับ

ภาพนี้แก้วใช้ระยะ 2x ในการถ่าย ทุกอย่างทำออกมาได้เหมือนกับการใช้กล้องหลักถ่ายภาพ Portrait เลย ดูเส้นผมด้านหลังของแก้ว Software ตัดขอบสามารถเก็บออกมาได้เป็นเส้นๆ แบบแม่นยำมากเลย

Software Bokeh นอกเหนือจากถ่ายภาพบุคคลแล้ว ยังสามารถเอาไปถ่าย Object อื่นๆ ได้โดยที่ยังตัดขอบได้แม่นยำเหมือนเดิมเลยนะครับ

FRONT CAMERA : กล้องหน้าความละเอียด 32MP

องศาการรับภาพของกล้องหน้านั้น กว้างกว่าของ OPPO Find X3 Pro มากพอสมควร เราไม่จำเป็นจะต้องยื่นแขนออกไปสุดมากก็ได้ตอนที่เราถ่ายแบบ Shoulder Shot อย่างภาพนี้แก้วไม่ได้เปิด Software ใดๆ ช่วยเลย

พอลองมาเปิด Portrait Mode ในกล้องหน้ากันบ้าง ก็ต้องบอกว่า มันให้ภาพที่ต่างจาก OPPO ในรุ่นกลางอย่างชัดเจน ที่จะแบบ Bokeh ดวงโตๆ หน้าเนียนจัดๆ แต่ตัวนี้ ยังเหลือความสมจริงเอาไว้บ้าง สิ่งที่อยู่ใกล้เรา จะไม่เบลอเท่า จุดที่อยู่ไกลตัวเราออกไปมากๆ การตัดขอบก็ใช้ได้ครับ มีหลุดบ้างนิดเดียว

จุดที่แก้วค่อนข้างชอบในกล้องหน้าตัวนี้ ก็คือ Skintone และ การ Balance แสงครับ ถึงแม้ HDR ในกล้องหน้า มันจะไม่ได้แสดงผลอะไรมากมาย แต่ระบบวัดแสงในกล้องหน้า สามารถควบคุมปริมาณแสงได้ดี มี Highlight | Midtone | Shadow ในระดับที่เพียงพอ จะไม่ทำให้ภาพดูแบน

LOW LIGHT PHOTOGRAPHY

สำหรับการถ่ายภาพในที่แสงน้อย สำหรับแก้วมองว่า ทำได้ค่อนข้างโอเค แต่คุณภาพไฟล์จะดีที่สุดในกล้องหลัก มากกว่ากล้องตัวอื่นๆ เพราะว่า ค่า f/stop ต่ำที่สุดนั่นเอง แต่ไม่ใช่ว่าตัวอื่นแย่นะ ใช้ได้เลยล่ะ จริงๆ Software Night Mode ก็ใช้ได้นะ ไม่ได้อัด Sharp มาหนัก อยู่ในระดับกำลังดี

ชอบความเกลี่ยแสง Highlight และ Shadow ให้ออกมาแล้วยังดูมีมิติอยู่ ภาพไม่แบน ไม่แข็งจนเกินไป

ใน Night Mode กล้องไม่ได้พยายามขุด Shadow ขึ้นมา ช่วยให้ เราแทบจะไม่เห็น Noise ในภาพเลย ไฟล์จะใสมากๆ และ Night Mode ก็ไม่ได้ลากชัตเตอร์นานมากนัก อยู่ที่ 2 วินาทีเท่านั้น ในสภาพแสงประมาณนี้ครับ

นอกจาก Filter สีต่างๆ แล้ว OPPO Find X5 Pro ยังใส่ Mode Long Exposure มาให้ด้วย มีทั้งถ่ายไฟกลางคืน ถ่ายน้ำตก ซึ่งครั้งนี้แก้วถ่ายน้ำตกมาให้ดูนะ

Long Exposure แบบ Traffic Trail ครับ จะเห็นว่า รอยต่อมันยังดูเยอะอยู่ เส้นเลย Blend หากันยังไม่เนียนเท่ากับแบรนด์อื่นๆ ที่มี Mode Long Exposure มาให้นานแล้ว

VIDEOGRAPHY : การถ่ายวีดีโอ

สำหรับงาน Video ใน OPPO Find X5 Pro นั้น จริงๆ แล้วหลายคนคงพอจะทราบว่า OPPO เป็นแบรนด์ที่ไม่ได้ถ่าย Video ได้ดีมากนัก ทั้งไมโครโฟน และ Quality ของภาพเอย Bitrate เอย แต่ครั้งนี้ เหมือนแก้มาเอาคืนทุกคนเลย นอกจากนั้นยังมี Mode ใหม่ๆ อยาก LOG | HDR มาให้ใช้กันด้วยนะครับ ซึ่งจะอยู่ใน Mode MOVIE

จุดเด่นที่แก้วอยากจะเน้นมากๆ มากกว่า 4K Night Video อะไรนั่นอีก ก็คือ ไมโครโฟนครับ ไมโครโฟนดีขึ้นมากๆ ตัดเสียงต่างๆ ออกไปได้ค่อนข้างจะดีเลย รวมไปถึงตัวกันสั่น ดีขึ้นมากๆ ตัว HDR เมื่อใช้งานกลางวัน ให้ผลลัพท์ที่น่าพอใจกว่าใช้ตอนกลางคืนมากๆ ครับ อีกหนึ่งจุดที่ทั้งดีใจ และเสียใจในเวลาเดียวกันคือ กล้องหน้าปรับระยะได้ กว้างแคบ แต่ ถ่ายได้แค่ 1080 30fps เศร้าเลย

PERFORMANCE : ประสิทธิภาพ

OPPO Find X5 Pro รันด้วย Chipset Snapdragon 8 Gen 1 และ RAM 12 GB กับการใช้งานทั่วไปเนี่ย สบายๆ เลยครับ ไหลลื่น หน้าจอสวย สัมผัส Touch Screen ดี ความร้อนก็ตามสไตล์ Snapdragon 8 Gen 1 คือ แพ้แดด ออกแดดเปิดแสงจอสว่างมากๆ แล้วร้อนมาก

ตัว Operation System ของ OPPO Find X5 Pro นั้น เป็น Color OS 12.1 Base on Android ที่เดี๋ยวนี้ ColorOS Custom Theme ได้เยอะมาก ปิดชื่อแอพ เปลี่ยน Shape Icon ก็ทำได้ สายปรับแต่งนี่น่าจะถูกใจ แล้วก็ตลอดการใช้งานมา 2 สัปดาห์ ไม่มีครั้งไหนเลย ที่แอปเด้ง ROM ตัวนี้ ดีมากจริงๆ ครับ

สำหรับการเล่นเกมนั้น แก้ว Test กับเกม V4 ที่ Graphic ใกล้เคียง Genshin Impact สามารถเปิด Graphic ได้ในระดับ High แต่ Frame Rate 60fps นั้น ไม่นิ่งเท่าที่ควร มีอาการดรอปลงมาที่ 50 กว่าๆ ได้อยู่บ่อยๆ ครับ เมื่อเครื่องร้อนขึ้นเรื่อยๆ

แต่ Touch Sampling 1000Hz เนี่ย สุดจริง Love มาก ขนาดเล่น RPG ตอนลง Dungeon ยังรู้สึกว่า กดสกิลได้เร็วขึ้น ลากตัวหลบสกิลบอสได้ง่ายขึ้น ถ้าเป็นคนเล่น FPS คงจะ Happy มากกว่าแก้วแน่ๆ

การชาร์จเร็วแบบสายเนี่ยใช้เวลาแค่แบบ 12 นาทีก็ได้ 50% แล้ว พร้อม Features ถนอมแบตเตอรี่ ที่ค่อยๆ ปล่อยกำลังไฟเข้าไปจนเต็ม เมื่อเราชาร์จแบบข้ามคืน และการชาร์จไร้สายที่กำลังไฟสูงถึง 50W แค่แป๊บเดียวเท่านั้น ก็เต็มแล้ว

 
OPINION & OVERVIEW

OPPO Find X5 Pro ยังคงให้ความรู้สึกของการเป็น Flagship ได้ดีเหมือนเดิม งานออกแบบที่หรูหรา อัพเกรดวัสดุภายนอกมาเป็น Ceramic หน้าจอที่สวยงาม Touch ลื่น 1000Hz กล้องถ่ายภาพทุกตัวที่ไว้ใจได้ พร้อมลูกเล่นใหม่ๆ จาก Hasselblad และการถ่าย Video ที่แก้จุดอ่อนมาได้เป็นอย่างดี ถ้าสำหรับใครที่กำลังมองหา Smartphone Flagship มาใช้ยาวๆ สักตัว Find X5 Pro น่าสนใจไม่น้อยเลยล่ะครับ

แต่ว่า ถ้าคุณถือ OPPO Find X3 Pro อยู่แล้วล่ะก็ มันค่อนข้างที่จะมีจุดให้พิจารณาเยอะเหมือนกัน ถ้ามามองภาพรวมการใช้งานแล้ว Feeling มันอาจจะไม่ได้กระโดดจากรุ่นเดิมมากนัก ทั้งในแง่ของการใช้งานทั่วไป และ พวก Power Users


ในเรื่องของกล้อง ถ้าเรายก Mode Hasselblad ออก OPPO Find X5 Pro นั้น มันก็คือ OPPO Find X3 Pro ที่แต่งหน้าทาปากมาใหม่นั่นแหละครับ ไม่ได้หวือหวาอะไรมากนัก แต่ต้องบอกว่า ปีนี้ทุกแบรนด์น่าจะเป็นทรงนี้เหมือนกันหมด เพราะว่า Hardware คลาดแคลนกันทั่วโลก R&D ก็คงช้ากันไปหมด

ราคาเปิดตัวที่ 39,990 .- แต่โปรโมชั่นเพียบ ลองไปหากันได้ครับ
 

[ ติดตาม Mobile Photographer ได้ที่ ]

IG : kaew.ravie

0 ความคิดเห็น

Comments


bottom of page