top of page
รูปภาพนักเขียนแอดมินแก้ว

รีวิว vivo V40 Series 5G | ครบเครื่องที่สุด เท่าที่ vivo V Series เคยทำมา

สวัสดีครับทุกคน รีวิวที่ทุกคนรอคอยมากันแล้วครับ กับ vivo V40 Series 5G สมาร์ทโฟน Mid-range ที่คุ้มค่า และครบเครื่องที่สุด เท่าที่ vivo เคยทำมาเลย ไม่ว่าจะเป็น ได้ ZEISS Bokeh Effect ครบในทุกรุ่น ถ่าย Video 4K ได้ทุกกล้อง ไปจนถึง Design กับ Build Quality ตัวเครื่องที่สวยขึ้น แข็งแรงขึ้น มาพร้อม IP Rating IP68 ถ้าทุกคนพร้อมแล้ว ไปดูรีวิวกันครับ

SPECIFICATION | vivo V40 5G
  • Chipset : Qualcomm Snapdragon 7 Gen 3

  • RAM 12GB + Extended Ram 12GB | Storage 256GB

  • Display : 1.5K 6.78-inch AMOLED | 1B colors | 120Hz | HDR10+

  • Operation system : Funtouch OS 14 | Android 14

  • Good quality Stereo speaker | IP68

  • Bluetooth 5.4 | USB Type-C 2.0 | Wifi6

Battery 5500mAh | 80W vivo FlashCharge

SPECIFICATION | vivo V40 Pro 5G
  • Chipset : Mediatek Dimensity 9200+

  • RAM 12GB + Extended Ram 12GB | Storage 512GB

  • Display : 1.5K 6.78-inch AMOLED | 1B colors | 120Hz | HDR10+

  • Operation system : Funtouch OS 14 | Android 14

  • Good quality Stereo speaker | IP68

  • Bluetooth 5.3 | USB Type-C 3.1 | Wifi7

  • Battery 5500mAh | 80W vivo FlashCharge

WHAT'S IN THE BOX : อุปกรณ์ภายในกล่อง
  • ตัวเครื่อง vivo V40 5G | vivo V40 Pro 5G

  • Case กันกระแทกแบบนิ่ม

  • USB-C Cable ( USB-A to USB-C )

  • Adapter vivoFlashCharge 80W

  • Sim card ejector | Manual Document

DESIGN งานออกแบบ

สีตัวเครื่องของ vivo V40 5G จะมีด้วยกันทั้งหมด 3 สี ได้แก่ Nebula Purple (ขวา) Stellar Silver (ซ้าย) Sunglow Peach (กลาง) ซึ่ง Detail ของสีตัวเครื่อง ลักษณะในการทำสี ตัวสี Nebula Purple และ สี Stellar Silver ผิวสัมผัสจะเป็นแบบด้าน แต่สี Sunglow Peach ลักษณะการทำสีจะเป็น Glossy หรือมันเงา นั่นเองครับ

ตัวสี Sunglow Peach จะเป็นสีที่ดูมีความแตกต่างมากที่สุดในทุกสีแล้ว ทั้ง Look & Feel ไปจนถึงลักษณะในการทำสีตัวเครื่อง เพราะจะดูมีความสว่างมากกว่าในทุกสี ให้ความรู้สึกที่สดใส ทาง vivo บอกว่า ได้แรงบันดาลใจมาจาก แสงแรกของดวงอาทิตย์ ที่ขึ้นผ่านเส้นขอบฟ้าในยามเช้า แก้วไม่แน่ใจว่า ด้านหลังเขาเคลือบอะไรพิเศษมาให้ไหม แต่รอยนิ้วมือ ขึ้นยากกว่าเดิม พอสมควร

สี Nebula Purple วัสดุของฝาหลังตัวเครื่องจะเป็น กระจกที่ให้ผิวสัมผัสแบบด้าน แต่มี Effect Glitter เล็ก ๆ สะท้อนแสงสวยงาม ตอนจับถือจะให้ความรู้สึกที่เนียนนิ้วกำลังดี มี Grip ในการจับถือที่แน่น และที่สำคัญป้องกันรอยนิ้วมือได้ดีมาก ๆ ทาง vivo บอกว่า สีนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก เวลาที่เรามองท้องฟ้าตอนกลางคืน เห็นกลุ่ม Galaxy กลุ่มดาว ที่ดูสวยงามน่าค้นหา

เอาจริง ๆ สีนี้เป็นสีที่แก้วชอบที่สุดในทุกสี ของ vivo V40 Series 5G แล้ว สี Base จะมีความเป็นสีเงิน ซึ่งพอวัสดุกระจกด้านหลัง เป็นกระจกแบบด้าน ทำให้เวลาสะท้อนแสงแล้วจะมีความฟุ้ง ๆ เนียน ๆ ให้ความรู้สึกที่เรียบหรู Classic ใช้งานง่าย

Design Module กล้องแบบใหม่ Gemini Ring

Design Module กล้องแบบใหม่ Gemini Ring ที่ลดความเหลี่ยมสันลงจากรุ่นที่แล้ว เลือกใช้ Shape ที่ดูโค้งมน รวมไปถึง การจัดวางตำแหน่งของกล้อง และไฟ AI Aura Light ที่ดู Symmetry มีความสมมาตร สวยงามมากขึ้น แก้วชอบที่เขามีการสลับวัสดุ และการทำสีที่บริเวณฐาน Module กล้อง ทำให้ดูมีมิติมากขึ้น

จริง ๆ แล้ว หน้าตาตัวเครื่อง vivo V40 5G กับ vivo V40 Pro 5G แทบจะเหมือนกันเป๊ะ แต่ถ้าสังเกตดี ๆ ตำแหน่งของไฟ Aura Light จะสลับกันเล็กน้อยเท่านั้นเองครับ ซึ่ง สีตัวเครื่องของ vivo V40 Pro 5G ที่นำเข้ามาวางจำหน่าย จะมีแค่สีเดียวเท่านั้น ก็คือ สี Stellar Silver ครับ

เครื่องบางเบา ที่ซ่อนแบตเตอรี่ไว้ถึง 5500mAh

ความบางเบาของตัวเครื่อง ยังมาเป็นอันดับหนึ่ง ถึงแม้จะใส่ Battery ความจุมากถึง 5500mAh แต่ตัวเครื่องก็ยังบางแค่ 7.58 มม. รวมไปถึงน้ำหนักตัวเครื่องที่เบามาก vivo V40 5G จะอยู่ที่ 190 กรัมและ vivo V40 Pro 5G อยู่ที่ 192 กรัม เท่านั้น ซึ่งก็เพราะว่าทาง vivo ได้พัฒนาเทคโนโลยี BlueVolt ขึ้นมา ทำให้แบตเตอรี่มีน้ำหนักที่เบาลง แต่ได้ความจุที่มากขึ้นนั่นเองครับ

ด้านบนของตัวเครื่อง ก็จะมี Choker คำว่า Professional Portrait ซึ่งเป็นจุดขายของรุ่นนี้อยู่แล้ว และก็จะมี ไมโครโฟนอีกหนึ่งตัว ลำโพงอีกหนึ่งตัวนะครับ

ด้านล่างของตัวเครื่อง ก็จะเป็นที่อยู่ของ Port USB-C | ไมโครโฟน | ถาดใส่ซิม แบบ 2 ซิม (ไม่รองรับ microSD Card) | และ ขอแสดงความยินดีกับแฟน ๆ vivo V Series ด้วยนะครับ เราได้ลำโพงคู่ Stereo มาประจำการในรุ่นนี้เรียบร้อย ( ใครอยากลองฟังเสียง ลองไปดูวีดีโอรีวิว ใน YouTube ได้นะครับ )

DISPLAY : หน้าจอแสดงผล

ทีนี้เราพลิกมาดูที่เรื่องของหน้าจอกันบ้างนะครับ นี่น่าจะเป็นอีกหนึ่งจุดเด่น ที่พอใครได้ลองแล้ว ต้องชอบหน้าจอตัวนี้แน่ ๆ ขนาดหน้าจอของทั้ง 2 รุ่นอยู่ที่ 6.78 นิ้ว รูปแบบหน้าจอจะเป็นจอโค้งเหมือนกันทั้งคู่ และ ถ้าเอาแบบสรุป ๆ เร็ว ๆ เลยก็คือ ประสิทธิภาพของจอในทุกด้าน เทียบเท่า หน้าจอ ของ vivo X100 5G ได้สบาย

Panel หน้าจอจะใช้เป็น AMOLED มี Resolution อยู่ที่ 1.5K มีค่า Refresh Rate อยู่ที่ 120Hz ขอบเขตสีอยู่ที่ 1 พันล้านสี และรองรับ HDR10+ และอีกหนึ่ง Highlight ก็คือ Peak Brightness อยู่ที่ 4500nits และ HBM brightness ที่ประมาณ 1200nits ซึ่ง เพียงพอต่อการใช้งานในทุกสภาวะแสงแน่นอน

คุณภาพการแสดงผลของหน้าจอ ในทุก ๆ รูปแบบการใช้งานนั้น ตอบสนองเราได้อย่างดีเยี่ยมมาก ๆ ให้สีสันที่สวย Contrast ดี รองรับการรับชม Content คุณภาพสูงจากทุก ๆ Platform และพอได้ลำโพงคู่มาใส่ในรุ่นนี้แล้ว อรรถรสในการรับชมก็เพิ่มมากขึ้นไปด้วย

  • Youtube 4K HDR

  • Disney+ Hotstar 4K HDR

  • Netlflix 4K HDR | L1

คุณภาพการแสดงผลสีสันของหน้าจอ มีความแม่นยำ สามารถใช้ในการเช็คไฟล์สีงานต่าง ๆ ได้ ไปจนถึง ใช้หน้าจอในการตกแต่งภาพ ก็ไว้ใจได้เช่นเดียวกัน ด้วย 8000000:1 Contrast Ratio, P3 Color Gamut | DCI-P3 100% | sRGB 100%

นอกจากนั้น เรายังสามารถปรับแต่ง Color Profile ของหน้าจอได้ ตามรูปแบบการใช้งาน และยังสามารถใช้ Features Visual Enhancement เพื่อให้เวลารับชม Content ภาพมีสีสันสวยมากขึ้นได้ครับ

ถึงแม้ว่า HBM อาจจะน้อยกว่า vivo X100 5G อยู่เล็กน้อย แต่การใช้งานหน้าจอในที่กลางแจ้ง ของ vivo V40 Series 5G ทั้ง 2 รุ่น เอาอยู่ได้สบาย ๆ เลยครับ

ตัว Fingerprint scanner จะเป็น Sensor ในรูปแบบ Optical ใต้หน้าจอ ตำแหน่งอาจจะต่ำไปสักหน่อย แต่ความรวดเร็ว และความแม่นยำในการ Scan ใช้งานได้ดี ไม่มีปัญหาอะไรครับ

CAMERA SPECIFICATION

เป็นเวลาที่ยาวนานมากแล้วนะครับ ที่ทาง vivo ได้ร่วมพัฒนากล้องถ่ายภาพ กับบริษัท ผลิตชิ้นเลนส์ระดับโลกอย่าง Carl ZEISS ซึ่งปีนี้ vivo ก็สร้าง Surprise ตลอดทั้งปี อย่างช่วงต้นปี ก็นำ ZEISS มาอยู่ใน vivo V30 Series 5G แต่สงวนไว้ให้เฉพาะตัว Pro เท่านั้น แต่พอมาปลายปี จัดเต็มให้ในทุกรุ่น ของ vivo V40 Series 5G เลย เรามาดู Spec กล้องกันครับ

Camera Specification : vivo V40 5G

Main camera 50MP | f/1.88 | ISOCELL GNJ | OIS PDAF

Ultra Wide Angle 50MP | f/2.0 | ISOCELL JN1 | | PDAF

Front Camera 50MP | f/2.0 | ISOCELL JN1 | FOV 92 ํ | PDAF

Camera Specification : vivo V40 Pro 5G

Main camera 50MP | f/1.88 | IMX921 | OIS PDAF

Ultra Wide Angle 50MP | f/2.0 | ISOCELL JN1 | | PDAF

Telephoto 2x | f/1.85 | IMX816 | OIS PDAF

Front Camera 50MP | f/2.0 | ISOCELL JN1 | FOV 92 ํ | PDAF

อัพเกรด Software ให้ถ่ายภาพสนุก และหลากหลายขึ้น

โทนสีของภาพ จาก vivo V40 Series 5G ในทั้ง 2 รุ่น จะมีให้เลือกด้วยกันทั้งหมด 3 โทนสี ได้แก่ สดใส (vivid) , มีมิติ (Textured) และ ZEISS Natural Tone หรือโทนสีแบบ ZEISS ที่เคยถูกสงวนไว้ให้รุ่นพี่ vivo X Series เท่านั้น ก็ได้ใส่เข้ามาในรุ่นนี้ด้วย

ปกติแล้ว ใน vivo V Series ในรุ่นก่อนหน้านี้ ระยะในการถ่ายภาพ Portrait จะมีแค่ 1x | 2x แต่พอมาใน vivo V40 Series 5G ทั้งตัวรุ่นน้อง และรุ่นพี่ เพิ่มระยะการถ่ายมาให้แบบจุใจมาก โดยที่ vivo V40 5G จะสามารถใช้งานได้ทั้งหมด 3 ระยะ คือ 24mm | 35mm | 50mm ส่วนใน vivo V40 Pro 5G จะสามาถใช้ได้ถึง 5 ระยะ ได้แก่ 24mm | 35mm | 50mm | 85mm | 100mm ซึ่งไม่เคยมีในสมาร์ทโฟนระดับกลางรุ่นไหนในตลาดมาก่อนเลย

นอกจากนั้น vivo V40 Series 5G ทั้ง 2 รุ่น ยังได้ ZEISS Bokeh Effect มาครบถ้วน เท่ากับรุ่นพี่ vivo X Series เลย ที่เพิ่มเข้ามาให้ใหม่ก็จะเป็น ZEISS B-speed นั่นเองครับ เรื่อง Software การ Portrait vivo ไม่มีกั๊กจริง ๆ จัดหนักมาให้เลย

รวมไปถึงในรุ่นนี้ ได้มีการใส่ AI ERASE เข้ามาให้เราแล้วด้วย สามารถใช้งานในการลบวัตถุ หรือสิ่งที่ไม่ต้องการออกไปได้ แล้วตัว AI จะ Generate พื้นที่ที่ถูกลบออกไปขึ้นมาทดแทนให้แบบเนียนกริ๊บ ไม่แพ้กับเรือธงเลยครับ

อยากที่ทุกคนเห็นนะครับ ว่าในทุก Generation ทาง vivo ได้มี Major Change ทั้ง Hardware และ Software อยู่เสมอ ทำให้ประสบการณ์ในการถ่ายภาพยอดเยี่ยม และสนุกมากขึ้นเรื่อย ๆ เราไปดูภาพจากกล้องแต่ละตัว และ Mode ต่าง ๆ กันครับ

vivo V40 5G : กล้องหลัก 50MP | GNJ | f/1.88

สำหรับ ภาพที่เราจะได้จากกล้องตัวนี้ vivo ยังคงเน้นความง่าย เน้น ความสำเร็จรูปเป็นหลักเหมือนเดิม ก็คือ จะมีการเติม Sharpness เร่งสีสันของภาพให้สดขึ้น ( ถ้ารู้สึกว่าสดไปปรับไปใช้ ZEISS Natural tone ก็ช่วยได้นะครับ )

ไปจนถึง Auto HDR ที่ช่วยเปิดรายละเอียดในส่วนต่าง ๆ ของภาพ ทั้ง Shadow และ Highlight ก็ทำได้ดี เผลอ ๆ จะขุดเยอะ Dynamic Range กว้างกว่ารุ่นพี่ตัว Pro ซะอีก

ขนาดว่า ในช่วงที่แก้วออกไปทดสอบการถ่ายภาพมาประกอบรีวิว เป็นช่วงที่ฝนตกทุกวัน แทบไม่เจอฟ้าใส ๆ แดดดี ๆ เลย แต่ตัวกล้องก็ยังสามารถ ให้คุณภาพไฟล์ที่เราไว้ใจได้

การวัดแสงก็ทำได้แม่นยำดีมาก เวลาสภาพแสงเปลี่ยน ความสว่างก็ไม่วูบวาบ White Balance ในสภาพแสงดี ๆ ก็ทำงานได้รวดเร็วแม่นยำ แต่ถ้าเจอที่แสงน้อย ยังแม่นเหมือนเดิมนะ แต่อาจจะใช้เวลาในการปรับนานกว่าตอนกลางวันสักนิดหนึ่งครับ 

vivo V40 Pro 5G : กล้องหลัก 50MP | IMX921 | f/1.88

ทีนี้เรามาดูกล้องหลักของ vivo V40 Pro 5G กันบ้าง ซึ่งจะใช้ Sensor IMX921 ที่ทาง vivo ไปร่วม Custom กับ ทาง Sony มาโดยเฉพาะ ซึ่งจะมีแต่ สมาร์ทโฟนในเครือ vivo เท่านั้น ที่ใช้ Sensor ตัวนี้ได้ ซึ่งเอาจริง ๆ แล้วขนาด Sensor พอ ๆ กับ ISOCELL GNJ ในรุ่นน้องเลย แต่เทคโนโลยีในการ Stacked แสง รวมไปถึง การจัดการจุดรบกวน ตัว Pro จะทำได้ดีกว่า

ทีนี้หลายคนคงสงสัยกันว่า แล้วมันจะต่างจากตัวรุ่นน้องมากไหม คำตอบ คือ ดูเหมือนจะไม่ต่าง แต่จริง ๆ ต่างมากครับ เอาเรื่องแรกก่อนเลย ก็คือ เรื่อง โทนสีภาพครับ ต่อให้เราจะตั้งโทนสีเป็น vivid เหมือนกับรุ่นน้อง vivo V40 5G แต่ภาพที่ออกมา สีสันจะแตกต่างกันมาก

โดยที่สีของ vivo V40 Pro 5G จะมีความเป็นธรรมชาติกว่า ไปจนถึงการ Process ภาพ ต่อให้เราถ่ายภาพในสภาพแสงเดียวกันเป๊ะ แต่ผลลัพท์ที่ออกมาก็ต่างกันอยู่ดี เพราะ Software Auto HDR ของ vivo V40 Pro 5G จะขุดรายละเอียดในส่วน Highlight กลับมาให้พอ ๆ กับรุ่นน้อง แต่ส่วน Shadow หรือส่วนเงา เรียกได้ว่า แทบจะไม่ขุดเลย ซึ่งถ้าเป็นคนถ่ายเน้นง่าย ๆ ไม่อยากวัดแสงเอง แต่อยากได้ความสว่างทั้งภาพ Software ที่ตัวรุ่นน้องจูนมาจะถ่ายง่ายกว่าครับ

ทีนี้การถ่ายภาพละลายฉากหลังของกล้องหลัก ทั้งสองรุ่นนี้เป็นยังไงบ้าง ก็ต้องบอกว่า ทำได้ดีพอ ๆ กันครับ เพราะอย่างที่แก้วบอกไปตอนแรก ขนาด Sensor แทบจะเท่ากันเป๊ะ Optics ก็ใช้ Spec เดียวกัน รูรับแสงเท่ากัน ทั้งสองรุ่น

กล้องหลักสามารถเข้าใกล้วัตถุได้ใกล้มากทั้งคู่ เท่าที่ลองกะ ๆ ดูน่าจะต่ำกว่า 15 ซม. และยังสามารถใช้การ Crop zoom 2x เพื่อให้ได้ Bokeh ที่ชัดขึ้น โดยที่ไม่เสียคุณภาพไฟล์ได้ด้วยนะครับ

เอามาถ่ายดอกไม้ ถ่ายวัตถุ ถ่ายสินค้าในระยะใกล้ ๆ ได้ การละลายหลังที่สวย หรือจะเพิ่มการ Zoom เข้าไปอีกหน่อย ใช้แทนกล้อง Macro ไปเลยก็ได้ครับ

PORTRAIT PHOTOGRAPHY : ภาพถ่ายบุคคล

เรามาต่อกันที่การถ่ายภาพ Portrait กันบ้างนะครับ เริ่มกันที่รุ่นน้อง vivo V40 5G ก่อนเลยนะ ระยะที่เราสามารถใช้งานได้ก็จะมีด้วยกันทั้งหมด 3 ระยะ ก็คือ 24mm | 35mm | 50mm เพิ่มขึ้นมาจากตอน vivo V30 5G 1 ระยะ ก็คือ 35mm นั่นเอง

แล้ว ก็ได้ ZEISS Bokeh มาครบเหมือนกับรุ่นพี่ vivo X100 Series ด้วย ซึ่งถ้าใครรู้สึกว่าเลือกไม่ถูก ไม่รู้จะจับคู่ระยะไหน เข้ากับ Bokeh อะไร ก็สามารถที่จะใช้ Portrait Lens Kit ที่เขาจับคู่มาให้แล้วก็ได้ครับ

คุณภาพไฟล์ใน Mode Portrait ของ vivo V40 5G ถ้าเป็นในสภาพแสงปกติ ที่ที่มีแสงดี ๆ คุณภาพไฟล์ในทุกระยะ ตั้งแต่ 24mm | 35mm | 50mm ถือว่าดีงามหมดเลยครับ

Skintone จะมีความอมแดงนิด ๆ AI Beauty ที่เรียนรู้ใบหน้า และปรับให้เราอัตโนมัติก็ใช้งานได้ดี ส่วนการจำลอง Bokeh Effect ก็ทำได้แม่นยำ ตัดขอบได้ค่อนข้างเนียน มีการไล่ระดับที่ดูเป็นธรรมชาติ

แต่ถ้า Scene ที่เราเลือกถ่ายภาพ แสงอาจจะไม่ได้ดีมาก หรือฉากหลังมีความซับซ้อนมากสักหน่อย อาจจะมีตัดปลายผม หลุด ๆ ให้เห็นได้บ้าง แต่ไม่ได้มากมายอะไรนะครับ

ทีนี้ภาพ Portrait จาก vivo V40 Pro 5G เป็นยังไงบ้าง เราสามารถถ่ายภาพ Portrait ได้มากถึง 5 ระยะ แต่เอ๊ะ ช่วงของเลนส์ที่รองรับ ไกลสุดมันแค่ 50mm หรือ 2x นี่ แล้ว 85mm กับ 100mm จะไหวหรอ ?

ซึ่งเรื่องนี้แก้ว Surprise มาก ไม่คิดว่า มันจะเอามาใช้ถ่ายได้คุณภาพไฟล์ดีมากขนาดนี้ คือ พูดกันตรง ๆ ว่า Detail ของภาพมันต้องมี Drop ลงไปบ้างอยู่แล้ว เมื่อเทียบกับระยะ 2x ที่ตรงตามระยะ Optical ของเลนส์

แต่ถ้าเราถ่ายเพื่อแค่ ลง Social Media ส่งให้เพื่อน บันทึกความทรงจำต่าง ๆ แก้วบอกเลยว่า เหลือ ๆ ครับ ใช้งานได้จริง Skintone ของ รุ่น Pro จะออกขาวติดฟ้า นิด ๆ และมีการเติม Sharpness เพื่อเพิ่มความคม มากกว่ารุ่นน้องพอสมควร พวก ZEISS Bokeh ก็มีมาให้ครบ รวมไปถึง Portrait Lens Kit ก็ให้มาเท่ากับ vivo X100 Series 5G เลยครับ

LOW LIGHT PORTRAIT : ภาพบุคคลในที่แสงน้อย

ทีนี้การถ่ายภาพ Portrait ในเวลากลางคืน เป็นยังไงบ้าง ด้วยการที่ไฟ Aura Light ตัวล่าสุด ได้เพิ่มความแรงของแสง และ การกระจายตัวของแสงให้มากขึ้นกว่ารุ่นที่แล้ว ทำให้ภาพมีความสว่างขึ้น และคุณภาพไฟล์ดีมากขึ้น จากที่ต้องใช้ ISO บางทีสูงถึง 10000 แต่พอเปิดไฟช่วย ก็ลดลงมาเหลือ 5000 เท่านั้น

พอมีแหล่งกำเนิดแสงที่เพียงพอ ไฟล์ก็ใสขึ้น ระยะเวลาในการลาก Shutter เพื่อรับแสงก็ลดลง ทำให้โอกาสที่จะเกิด Motion เบลอ จากการสั่นไหวของมือเรา และตัวแบบ แทบจะไม่เกิดขึ้นเลย

หรือ เวลาเราเจอแหล่งกำเนิดแสงที่ทำให้สีผิวเพี้ยนไป ก็สามารถ ใช้ไฟตัวนี้ ช่วยให้ตรงมากขึ้นได้ และก็ไม่ต้องกังวลไปว่า โหพี่ vivo V40 Pro 5G ระยะ Portrait ไกลสุดตั้ง 100mm ไฟ Aura Light จะถึงหรอ

เราสามารถกดเพิ่มความแรงของไฟได้เพิ่มเติม จากระดับความสว่างปกติ ซึ่งแก้วบอกเลยว่า แรงเท่ากับการยิงแฟลชแรง ๆ เพิ่ม พร้อมกับเปิดไฟ Aura Light ไปในตัว ตอนถ่ายภาพต่อให้ ยืนห่างกัน 1-2 เมตรได้สบาย แสงถึงแน่นอน

ซึ่งพอมันมีแสงสว่างที่เพียงพอแล้ว Software Portrait ต่าง ๆ ก็ทำงานได้แม่นยำเหมือนกับตอนกลางวัน ในทั้งสองรุ่นเลยครับ หาฉากหลังที่เป็นแสงไฟกลางคืน เปิดไฟ Aura Light ช่วยสักหน่อย ได้ Bokeh แบบเบิ้ม ๆ เลย

นอกจากนั้น ก็จะมี Style ภาพใหม่ที่ชื่อว่า Festival ที่จะให้โทนสีออก Warm มีกลิ่นความ Vintage นิด ๆ สาว ๆ สไตล์ Y2K น่าจะชอบกันนะ

กล้องมุมกว้าง 50MP | ISOCELL JN1 | 15mm | AF

เรามาต่อกันที่กล้อง Ultra Wide Angle กันบ้างนะครับ โดยที่ทั้ง vivo V40 5G และ vivo V40 Pro 5G จะใช้ Sensor ตัวเดียวกันก็คือ ISOCELL JN1 ซึ่ง ถ้าเอาเรื่องคุณภาพไฟล์เนี่ย ต้องบอกว่า ใกล้เคียงกันมาก Dynamic Range ก็กว้างพอ ๆ กัน

องศาในการรับภาพของกล้อง Ultra Wide Angle ตัวนี้ จะมี Focal Length ที่ 15mm ซึ่งถือว่าค่อนข้างจะกว้างมากแล้ว สำหรับ สมาร์ทโฟนในรุ่นกลางแบบนี้ และด้วย รูรับแสงที่กว้าง f/2.0 ซึ่งกว้างมากกว่า กล้อง Ultra Wide Angle ของ เรือธงหลายตัวในปีนี้ซะอีก ช่วยทำให้รักษาคุณภาพไฟล์ในแต่ละสภาพแสง ให้ใกล้เคียงกล้องหลักได้มากขึ้น

สิ่งที่จะดูแตกต่างกันบ้างระหว่าง 2 รุ่นนี้ก็คือ กล้อง Ultra Wide Angle ใน vivo V40 5G นั้น จะมีสีสันของภาพที่สดกว่าเล็กน้อย และเวลาที่เราถ่ายภาพย้อนแสง Software Auto HDR ก็จะขุดรายละเอียดในแต่ละย่านความสว่างสูงกว่าพอสมควร

ความคมของภาพเนี่ยจะอยู่สักประมาณ 90% ของภาพ เพราะตามขอบ ๆ ภาพเรายังเจออาการ Soft ได้อยู่บ้างเล็กน้อยนะครับ ตามทั้งสี่มุมนะครับ แล้วก็เรื่องหนึ่งที่แก้วสังเกตขึ้นก็คือ เวลาเราถ่ายภาพย้อนแสง แล้วมีส่วนมืดของภาพเยอะ ๆ Software กล้องจะไม่ได้พยายาม ลบ Noise หรือ จุดรบกวนออกไป จน Texture ภาพมันดูเหลว ๆ แต่จะปล่อยให้มี Noise อยู่บ้าง เพื่อรักษา Detail ในส่วนนั้นเอาไว้ ซึ่งนี่เป็น Character การ Process ภาพในแบบรุ่นเรือธงเลย

ส่วนเรื่องการจัดการ Distortion การจัดการ Chromatic Abberation ขอบเขียว ขอบม่วงเวลาย้อนแสง ทำได้ดีมาก แทบจะเท่ากับ vivo X100 5G แล้ว จุดที่ต่างกันก็เป็นเรื่องเดิม เหมือนกับกล้องตัวอื่น ๆ ก็คือ โทนสีของภาพ ที่ vivo V40 5G จะสีสดกว่ารุ่นพี่ vivo V40 Pro 5G นอกนั้น ใช้งานได้ดีทั้งคู่และ ด้วยความที่ใส่ Autofocus มาให้ เราใช้กล้องตัวนี้ ถ่ายภาพ Macro ระยะใกล้ ๆ ได้ด้วยนะครับ 

อาจจะมีเรื่องของ Auto White Balance ในบางสภาพแสงที่ยาก ๆ เช่น วันที่มีเมฆเยอะ ในที่ที่เป็นอาคาร Indoor หรือช่วง กลางคืนที่เราเจอแหล่งกำเนิดแสงที่แปลก ๆ Auto White Balance อาจจะทำงานช้าลงไปบ้าง แต่ความแม่นยำยังดีอยู่นะครับ

กล้องเทเลโฟโต้ 2x 50MP | f/1.85 | OIS | PDAF

ทีนี้เรามาต่อกันที่กล้อง Telephoto 2x ความละเอียด 50MP ที่ใช้ Sensor IMX816 บน vivo V40 Pro 5G กันบ้างนะครับ นอกจากระยะ 2x จะเป็นระยะที่เราสามารถเอามาถ่ายภาพ Portrait ได้กำลังดีแล้วเนี่ย เรายังสามารถนำไปใช้ถ่ายภาพอื่น ๆ ได้อีก ไม่ว่าจะเป็น ภาพ Street ภาพ Urban Photography ภาพอาหาร ภาพสินค้า ต่าง ๆ ก็ถ่ายได้สนุก

เพราะว่ามี มุมมองภาพไม่กว้างไป ไม่แคบไป จัด Compose ต่าง ๆ ได้ง่าย นอกจากนั้น เรายังสามารถใช้การ Crop zoom เพิ่มเติม เพื่อให้ได้ระยะไกลขึ้นได้อีก โดยระยะที่ยังหวังผลได้ คุณภาพไฟล์ยังใช้งานได้จริงอยู่ก็ คือ ประมาณ 10x ส่วน ถ้าเป็นรุ่นน้อง vivo V40 5G ที่ต้องซูมจากกล้องหลัก แก้วว่าเต็มที่ 4x ก็เยอะแล้ว 

เวลาเราเจอวิว Landscape กว้าง ๆ หาจุดเด่นให้ภาพไม่เจอ การเลือกใช้ระยะ 2x หรือ 50mm ก็ช่วย ตีกรอบความสนใจได้ง่ายมากขึ้น คนดูภาพก็จะรู้สึกไม่ สะเปะสะปะ กับภาพถ่ายที่ออกมาด้วยครับ

และ ที่แก้วชอบมากที่สุดก็คือ เอามาถ่ายภาพอาหาร เพราะเราสามารถใช้งานร่วมกับ Food Mode หรือ จะใช้ Portrait Mode ก็ได้เหมือนกันครับ เจาะรายละเอียดอาหารได้ใกล้ สีสันสวย และละลายฉากหลังได้ดี

และ ถึงแม้ระยะโฟกัสใกล้สุดของกล้องตัวนี้ จะค่อนข้างไกลกว่า กล้อง Telephoto 3x จากรุ่นพี่ vivo X100 5G แต่มี Depth of field หรือการละลายฉากหลังที่สู้กับรุ่นพี่ได้สบายเลยครับ Bokeh สวย

LOW LIGHT PHOTOGRAPHY : การถ่ายภาพในที่แสงน้อย

ทีนี้เรามาต่อกันที่ Low Light Photography หรือการถ่ายภาพในที่แสงน้อยกันบ้างนะครับ vivo V40 Series 5G ทั้ง 2 รุ่น สามารถใช้งาน Night Mode ได้ในกล้องทุกตัว ตั้งแต่กล้องหลัง จนถึงกล้องหน้า

ลักษณะในการ Process ไฟล์ภาพใน Night Mode ของทั้ง vivo V40 5G และ vivo V40 Pro 5G ค่อนข้างจะมีความคล้ายกัน ก็คือ ความสว่างจะไม่ได้ถูกดึงให้สว่างขึ้นมากนัก เน้นให้ส่วนที่เป็นจุดมืดในภาพสว่างขึ้นแทน Boost สีสันให้สดมากยิ่งขึ้น และเติม Sharpness กับ Clarity เข้าไปพอประมาณ ไม่ได้เยอะมาก ทำให้ภาพถ่ายที่ออกมา กลางคืนยังดูเป็นกลางคืนอยู่ ไม่ได้รู้สึกว่า ถูกเร่งความสว่างขึ้นมามากจนผิดธรรมชาติไป

คุณภาพไฟล์ในกล้องหลัก ของทั้ง 2 รุ่นถือว่าดีที่สุดในกล้องหลังทั้งหมด ความคมชัดดีมาก มี Noise ที่ต่ำ แต่จะมีความต่างเรื่องหนึ่งก็คือ ระยะเวลาที่เราใช้ในการลาก Shutter รุ่น Pro จะสั้นกว่าอยู่เล็กน้อย เช่น ถ้า Scene นี้ vivo V40 5G ต้องเปิดชัตเตอร์นาน 2 วินาที รุ่น Pro ก็ใช้เพียงวินาทีกว่า ๆ เท่านั้นครับ

ซึ่งจากที่แก้วลองเช็คไฟล์ และการตั้งค่าของกล้องแล้ว เหมือน Software ของรุ่น Pro จะเน้นใช้ ISO สูง ๆ เพื่อให้ภาพสว่างขึ้น มากกว่าที่จะเปิด Shutter รับแสงเอาไว้นาน ๆ ซึ่งแก้วคิดว่าที่เขาเลือกทำแบบนี้ เพราะ Sensor IMX921 มี Noise Performance ที่ดีกว่า GNJ ก็เลยทำให้ vivo V40 Pro 5G สามารถจะ Snap ภาพในที่แสงน้อยแบบเร็ว ๆ ได้ดีกว่ารุ่นน้อง

ส่วน Night Mode ในกล้อง Ultra Wide Angle ของทั้ง 2 รุ่นอันนี้เป็นจุดที่แก้วรู้สึกค่อนข้างต่างพอสมควร เพราะถึงแม้จะใช้ Sensor ตัวเดียวกัน แต่ ISP หรือ Image Processing ของทาง Dimensity 9200+ จะเก่งกว่า

นอกจากจะทำให้ใช้เวลาในการเปิดชัตเตอร์ที่สั้นกว่าแล้ว คุณภาพไฟล์ในภาพรวมยังใสกว่า สว่างกว่า เวลาเราเดินเจอจังหวะสวย ๆ มุมดี ๆ ก็ไม่ต้องเสียเวลาหยุดยืนถ่ายนาน สามารถ Snap แบบเร็ว ๆ ได้เลย

แต่ก็ไม่ได้ถึงขนาดว่า กล้อง Ultra Wide Angle ใน vivo V40 5G สู้รุ่นพี่ไม่ได้นะ เรายังสามารถใช้งาน Night Mode ถ่ายภาพได้คุณภาพไฟล์ที่คาดหวังได้เช่นเดียวกันครับ

ส่วน Night Mode ในกล้อง Telephoto 2x ของ vivo V40 Pro 5G ให้ความใส และความสว่างของภาพ ใกล้เคียงกล้องหลักมาก ๆ สามารถที่จะหยิบขึ้นมาใช้ถ่ายภาพได้แบบไม่รู้สึกกังวล ว่ามันจะสู้แสงไหวไหม ภาพที่ได้จะสั่นไหม เพราะรอบนี้ ใส่ OIS มาให้แล้ว ต่อให้จะใช้ Shutter Speed ที่ต่ำ สักประมาณ 1/10 ก็ไม่ต้องกลัวว่าภาพจะเบลอ

แต่การ Zoom 4x ด้วย Night Mode อาจจะมีคุณภาพไฟล์ที่ Drop ลงจากกลางวันนิดหนึ่งนะครับ ถ้าใน Scene มีแหล่งกำเนิดแสงที่เพียงพอ ภาพที่ได้ก็จะค่อนข้างสว่างดีครับ

นอกจากนั้น Mode การถ่ายภาพช่วงกลางคืนที่มีให้ก็จะมี การถ่ายภาพดาว การถ่ายภาพกลางคืนแบบ Panorama แต่ยังไม่มี Long Exposure มาให้นะครับ

RAW File Performance : ประสิทธิภาพของ RAW File

ทีนี้เรามาต่อกันที่ RAW File Performance ของ vivo V40 Series 5G กันบ้างนะครับ โดยทั้ง 2 รุ่น กล้องหลังทุกตัว สามารถใช้งาน Sensor RAW ได้หมดเลย 

RAW File ในกล้องหลัก vivo V40 5G ถือว่า ทำได้ดีขึ้นกว่าตอน vivo V30 5G พอสมควรเลยนะ ทั้งความยืดหยุ่นเวลาที่เราเอามา Process ต่อ ไปจนถึง ความใสของไฟล์ และ Noise Performance ก็ทำได้ดีมากขึ้น

เวลาเราแต่งภาพเยอะ ๆ ไฟล์ก็ไม่ช้ำง่าย แต่อาจไม่ได้ดีเท่ากับ SRAW ใน vivo X Series นะครับ อันนี้บอกไว้ก่อนนะ เดี๋ยวจะคาดหวังกันมาก 

ส่วน RAW File ของกล้องหลัก ใน vivo V40 Pro 5G อันนี้ต้องใช้คำว่า อยู่ใน Tier เดียวกับ vivo X100 5G ไปแล้ว Dynamic Range ที่เก็บมาได้ กว้างกว่ารุ่นน้องมาก ความยืดหยุ่นก็มากกว่า คือ ใครที่เป็นสาย Landscape ชอบถ่าย RAW เนี่ย แก้วว่า ตัว Pro น่าจะจบกว่าเยอะ 

RAW File ในกล้อง Ultra wide angle ของทั้ง 2 รุ่น คุณภาพ ความยืดหยุ่นในการ Process ก็คือ เท่า ๆ กันเลย ไม่ได้มีความแตกต่างอย่างมีนัยยะสำคัญอะไร

และ สิ่งที่เหมือนกันอีกอย่างก็คือ เราต้องมาแก้ Distortion หรือการบิดเบี้ยวของภาพด้วยตัวเอง จะไม่เหมือนกับ SRAW ใน X Series ที่เขาแก้มาให้เราแล้วนะครับ 

ส่วน RAW File ในกล้อง Telephoto 2x ของ vivo V40 Pro 5G อันนี้ก็ คาดหวังได้พอ ๆ กับกล้องหลักเลย ไฟล์ใส Dynamic Range กว้าง ความยืดหยุ่นในการ Process อาจจะน้อยกว่ากล้องหลักอยู่นิดหน่อย

แต่โดยรวมแล้ว เรายังสามารถเอาไปใช้งานได้ดีอยู่ ขนาดว่าแก้ว ใช้กล้องตัวนี้ถ่าย RAW ตอนกลางคืน เอามา Process ภาพที่ออกมานี่แบบ ใสปิ๊งเลยครับ

FRONT CAMERA : กล้องหน้าความละเอียด 50MP | ISOCELL JN1

ดูภาพนิ่งในกล้องหลังกันไปครบถ้วนแล้ว เรามาดูภาพนิ่งในกล้องหน้ากันบ้างนะครับ สำหรับกล้องหน้าของ vivo V40 Series 5G ทั้ง 2 รุ่น จะให้ Spec มาเหมือนกันก็ คือ ใช้ Sensor ISOCELL JN1 มีค่า f/stop ที่ 2.0 พร้อมกับ Autofocus และ Eyes AF ซึ่งแก้วแนะนำว่า ครั้งแรกที่ได้เครื่องมา ให้ไปเปิด Eyes Autofocus ก่อนเลยใน Setting นะครับ

สำหรับภาพจากกล้องหน้า ในทั้ง 2 รุ่น เราสามารถเลือกระยะได้ 3 ระยะเท่ากัน ก็คือ 0.8x | 1x | 2x เวลาเราใช้ Selfie สามารถจะใช้ ZEISS Bokeh effect ได้เหมือนกับกล้องหลังเลย แต่จำนวนจะน้อยกว่า ที่แก้วชอบใช้บ่อย ๆ ก็จะเป็น Plana กับ Distagon นะครับ

ซึ่ง ความแม่นยำในการเบลอหลัง และตัดขอบ ในหลาย ๆ สถานการณ์ทำได้ดีแล้ว แต่ถ้าฉากหลังค่อนข้างรก หรือมีรายละเอียดที่เยอะ การตัดขอบของกล้องหน้า ใน vivo V40 Pro 5G จะทำเก็บจุดเล็ก ๆ พวกปลายเส้นผมได้เนียนกว่ารุ่นน้องนะครับ

Skintone ในกล้องหน้า จะค่อนข้างแตกต่างกันทั้ง 2 รุ่นเลย ก็คือ กล้องหน้าของรุ่นน้อง vivo V40 5G จะมีสีสันที่ดูสดใสกว่า ส่วนกล้องหน้าของ vivo V40 Pro 5G จะดูธรรมชาติกว่า แต่รายละเอียด และ Detail พอ ๆ กันครับ

VIDEOGRAPHY : การถ่ายวีดีโอ

ตอนนี้ทุกคนก็ได้เห็นภาพนิ่งกันไปครบถ้วนแล้วนะครับ เรามาดูการถ่าย Video กันบ้าง สำหรับการถ่าย Video ใน vivo V40 Series 5G ทั้ง 2 รุ่น Resolution สูงสุดที่สามารถถ่ายได้ ทั้งในกล้องหน้า และกล้องหลัง จะอยู่ที่ 4K แต่ Frame Rate ตัว Pro จะมากกว่า โดยที่รุ่นน้อง Frame rate สูงสุดคือ 30fps แต่รุ่นพี่จะได้ 60fps นะครับ

อีกหนึ่งความต่างก็คือ รุ่นพี่ vivo V40 Pro 5G สามารถที่จะสลับกล้องได้อิสระ ทั้งด้านหน้า และด้านหลัง ที่ Resolution 4K 30fps แต่ ถ้าเป็น vivo V40 5G ต้องลด Resolution ลงมาเหลือเพียง 1080p 30fps เท่านั้นนะครับ


สำหรับคุณภาพไฟล์ Video ของทั้ง 2 รุ่น ถ้าวัดกันที่ 4K 30fps คุณภาพไฟล์ vivo V40 Pro 5G จะทำได้ดีกว่าอยู่พอสมควร ในทุก ๆ กล้อง ทั้งในแง่ของรายละเอียด ไปจนถึง Dynamic Range ที่เก็บมาได้ การกันสั่น ในกล้องหลัก และ Ultra Wide Angle ของทั้ง 2 รุ่นในสภาพแสงปกติใช้งานได้ดีทั้งคู่ เดินไปถ่ายไปได้ อย่างไรก็ตาม กันสั่นที่ทำงานได้ดีในทุกสถานการณ์ ก็ต้องยกให้ vivo V40 Pro 5G ดีกว่าอยู่ดี 

แต่ก็จะมีสิ่งที่แก้วชอบรุ่นน้องมากกว่า คือ สีสันของภาพครับ ที่จะดูมีความอิ่มของสีที่มากกว่า และไม่ได้เติม Sharpness เข้าไปใน Video เท่ากับตัว Pro ทำให้นำไปใช้งานต่อได้ค่อนข้างง่ายกว่า ไม่ต้องเสียเวลามา Grading สี วีดีโอเพิ่ม


แต่ในภาพรวม ก็ต้องยอมรับว่า ถ้าเราเน้นคุณภาพเนื้อไฟล์จริง ๆ vivo V40 Pro 5G ก็ยังเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า เพราะได้ Bitrate Video เท่ากับเรือธงที่ 50mbps ไปจนถึงเรื่องของการกันสั่นที่ทำได้ดีในทุก ๆ กล้องเลยครับ


นอกจากนั้นเขาก็ยังมี Mode Cinematic Video ที่ได้ Bokeh แบบ ZEISS มาให้เราใช้งานในกล้องหลัง และกล้องหน้า ที่ความละเอียด Full HD 30fps ด้วยนะครับ


PERFORMANCE | ประสิทธิภาพ

ทีนี้ Performance ตัวเครื่องในการใช้งานจริงเป็นยังไงบ้าง ? ถ้าให้แก้วสรุปสั้น ๆ 2 รุ่นนี้ ถ้าเราเป็นคนเน้นใช้งานทั่วไป เล่น Social ถ่ายรูป ดูหนังฟังเพลง ไม่ได้เล่นเกมกราฟิกสูง หรือใช้ Application ที่ต้องการ Processor แรง ๆ ประสบการณ์ที่ได้ ลื่นไหลเหมือนกันทั้งคู่เลยครับ

ทำให้การใช้งานทั่ว ๆ ไปก็แน่นอนว่าลื่นไหลอยู่แล้ว เปิด App ทิ้งไว้เยอะ ๆ ได้ ใช้ App สำหรับชีวิตประจำวัน หรือการทำงานได้เป็นอย่างดี

แต่ในเรื่องของการเล่นเกมนี่แหละ ที่ทำให้ มีความต่างค่อนข้างมาก เพราะ SoC หรือ Chipset ของทั้ง 2 รุ่นนั้น ต่างกัน ไปจนถึงเวอร์ชั่นของ RAM และ Storage ก็ต่างกัน ซึ่งแน่นอนว่า vivo V40 5G ที่ใช้ Snapdragon 7 Gen 3 แรงสู้ Chipset ในรุ่นพี่อย่าง Dimensity 9200+ ไม่ได้อยู่แล้ว อย่างเกมที่แก้วเล่นอยู่ตอนนี้ ก็จะเป็น Arch Age War และ Zenless Zone Zero ซึ่งเป็นเกม MMORPG และ Action RPG กราฟิกสูงทั้งคู่ โดยที่กราฟิก Setting ที่ vivo V40 5G นั้นจะเล่นได้ลื่นไหล จะอยู่ที่ ระดับ High เท่านั้น

ส่วนถ้าเป็น vivo V40 Pro 5G ในเกมเดียวกัน จะสามารถปรับกราฟิกทุกอย่างได้ในระดับ Ultra โดยที่ให้ความลื่นไหล และประสบการณ์ในการเล่นเกม ที่ดีไม่แพ้กับรุ่นพี่ vivo X100 5G เลย และด้วย Vapor Chamber ขนาดใหญ่ ที่ทั้ง 2 รุ่นนี้มีเหมือนกัน ทำให้สามารถระบายความร้อนของมาจากตัวเครื่องได้ดี เราจะรู้สึกอุ่น ๆ ที่มือ แต่ Frame Rate ในเกมนั้น เมื่อเล่นต่อเนื่องจะ Drop ลงน้อยมากครับ

สำหรับในเรื่องของ Battery Life แก้วขอแยกออกมาเป็น 2 ลักษณะในการใช้งาน ดังนี้ครับ

vivo V40 5G
  • - ใช้งานทั่วไป | Social Media | Entertainment ใช้กล้องนิดหน่อย : 8 ชั่วโมง 54 นาที

  • - ใช้กล้องเยอะ | เปิดแสงหน้าจอกลางแจ้งนาน | ใช้การนำทางเยอะ : 7 ชั่วโมง 15 นาที

vivo V40 Pro 5G
  • - ใช้งานทั่วไป | Social Media | Entertainment ใช้กล้องนิดหน่อย : 8 ชั่วโมง 10 นาที

  • - ใช้กล้องเยอะ | เปิดแสงหน้าจอกลางแจ้งนาน | ใช้การนำทางเยอะ : 6 ชั่วโมง 45 นาที

ความเร็วในการชาร์จของ vivo V40 Series 5G นั้น รองรับ vivo FlashCharge 80W ใช้เวลา 0-100% ที่ ต่ำกว่า 1 ชั่วโมง รวมไปถึงรองรับ Adapter ที่เป็นในรูปแบบ PD อีกด้วยนะครับ

OVERVIEW & OPINION

สำหรับแก้วแล้ว vivo V40 Series 5G มันไม่ใช่แค่ การ Upgrade เล็ก ๆ น้อย ๆ แต่เราได้เห็นการปรับเปลี่ยน Hardware หลายส่วน ทั้ง Sensor กล้อง คุณภาพวัสดุที่นำมาผลิตเครื่อง ที่แข็งแรงผ่านมาตรฐาน IP68 เป็นครั้งแรกของ vivo V Series เลย ไปจนถึง Chipset ในรุ่น Pro ที่เรียกได้ว่า แรงไปจ่อรุ่นพี่ vivo X100 Series 5G เรียบร้อยแล้ว

ขุมพลังที่ขับเคลื่อน vivo V40 Series 5G ทั้ง 2 รุ่น จะมีความแตกต่างกันค่อนข้างมาก Snapdragon 7 Gen 3 ที่แรงพอตัว ใช้งาน Daily use ได้อย่างลื่นไหล การประมวลผลภาพได้ค่อนข้างเร็ว ไปจนถึงเล่นกราฟิกโหด ๆ ได้ดี แต่ด้วยความที่รุ่นพี่ vivo V40 Pro 5G จัดความแรงมาเต็มพิกัด ด้วย Dimensity 9200+ ทำให้ความสามารถในทุกด้าน สูงขึ้นกว่ารุ่นน้องแบบรู้สึกได้ไม่ยาก และได้ใส่ ระบบระบายความร้อนที่ดีกว่ารุ่นที่แล้วเข้ามาด้วย ทำความการจัดการความร้อนทั้ง 2 รุ่นนี้ เอาอยู่ด้วยกันทั้งคู่

.

ปีนี้เป็นปีทอง ของคนรัก ZEISS จริง ๆ เพราะทั้งรุ่นพี่ vivo X100 Series 5G และ รุ่นน้อง vivo V40 Series มี ชิ้นเลนส์ที่ Certified โดย ZEISS และ ZEISS Bokeh Effect ใส่เข้ามาแบบจัดเต็มกันทั้งคู่ vivo V40 5G อัพเกรดให้ถ่ายภาพ Portrait ได้ 3 ระยะ ส่วน vivo V40 Pro 5G ได้มากถึง 5 ระยะด้วยกัน โดยที่คุณภาพไฟล์ เราหวังผลได้ทั้งคู่เลย

.

นอกจากคุณภาพของชิ้นเลนส์ เทคโนโลยีที่ทำให้ชิ้นเลนส์ในกล้อง Telephoto สามารถเคลื่อนปรับระยะได้อย่างอิสระ อย่าง Floating Telephoto นั้น ทำให้กล้องตัวนี้ มีระยะโฟกัสใกล้สุดที่มากพอ จะใช้ในการถ่ายภาพ Macro ได้คุณภาพระดับ Pro และใช้งานกับ การถ่าย Video ได้อีกด้วย

.

จากทั้งหมดที่เล่ามา ทำให้ vivo V40 Series 5G น่าจะเป็น Mid range สมาร์ทโฟน ที่คุ้มค่าที่สุดในช่วงครึ่งปีหลังแล้วจริง ๆ ครับ ปล. ไม่รู้ว่าแก้วคิดไปเองไหมนะ แต่เหมือนว่า ปีนี้ vivo จัดหนักกับ vivo V Series มาตั้งแต่ต้นปี ตกคนเข้าบ้านตัวเองมาได้ไม่ใช่น้อย เพื่อเตรียมจะปล่อยไม้เด็ดชุดใหญ่ในปีหน้า ก็ต้องรอติดตามกันต่อไปนะ

 

ราคาวางจำหน่าย vivo V40 Series 5G

  • vivo V40 5G 12GB + 256GB ราคา 15,999.-

  • vivo V40 5G 12GB + 512GB ราคา 17,999.-

  • vivo V40 Pro 5G 12GB + 512GB ราคา 24,999.-

พิเศษสำหรับผู้ที่สั่งซื้อภายในวันที่ 2 กันยายน - 30 กันยายน 2567 จะได้สิทธิ์รับของสมนาคุณมูลค่ารวมสูงสุดกว่า 12,298 บาท ประกอบด้วย 

  • หูฟัง vivo TWS 3e  (มูลค่า 1,799 บาท เฉพาะผู้ที่ซื้อรุ่น V40 Pro 5G) 

  • V40 Series 5G Premium Gift Box (มูลค่ารวม 10,499 บาท) ภายในประกอบด้วย เคสใส 1 ชิ้น ตัวยึดกับเคสสีพีช 1 ชิ้น สายคล้องข้อมือแบบเชือกสีดำ 1 ชิ้น กระเป๋าใส่เหรียญสีดำ 1 ใบ และ E-VIP รับประกันตัวเครื่องเพิ่มเป็น 2 ปี ประกันหน้าจอแตก 1 ครั้ง ภายใน 2 ปีแรก 

 

  • พิเศษยิ่งขึ้น! สำหรับผู้ที่สั่งซื้อในรูปแบบ Walk-In ภายในวันที่ 30 สิงหาคม 2567 ถึงวันที่ 1 กันยายน 2567 ณ vivo Brand Shop ทุกสาขา รับเพิ่มทันทีหูฟัง vivo TWS 3e สำหรับผู้ที่สั่งซื้อ V40 5G และส่วนลด 500 บาท สำหรับผู้ที่สั่งซื้อ V40 Pro 5G

 

[ ติดตาม Mobile Photographer ได้ที่ ] Fanpage : https://www.facebook.com/mobile.fotographer    

0 ความคิดเห็น

Comments


bottom of page