สวัสดีครับทุกคน กลับมาเจอกับแก้ว แล้วก็ Smartphone จากทาง Xiaomi กันอีกครั้งนะครับ สำหรับวันนี้ แก้วค่อนข้าง ตื่นเต้น และภูมิใจนำเสนอมาก ๆ กับสุดยอด Smartphone กล้องโหดอันดับต้น ๆ ประจำปีนี้ นั่นก็คือ Xiaomi 12S Ultra 5G หลายคนคงรู้กันแล้วว่า รุ่นนี้มาพร้อมกับ Sensor ขนาด 1 นิ้ว และครั้งแรกกับ การ Co-Engineered with LEICA เป็นครั้งแรก จะยอดเยี่ยมสมการรอคอยไหม ? ไปดูรีวิวกันครับ
SPECIFICATION
CPU : Snapdragon 8+ Gen 1
RAM 12GB ROM 256GB
Display : 6.73-inch AMOLED LTPO 2.0 | WQHD+ | 120Hz
Operation system : MIUI 13 Base on Android 12
Stereo Speakers Sound by harman/kardon
Bluetooth 5.2 | USB Type-C 2.0 | Wifi6E
Battery 5,000mAh | 67W Fast Charge
DESIGN : การออกแบบ
งานออกแบบของ Xiaomi 12S Ultra 5G นั้น ฉีกออกจากแนวทางการออกแบบ Smartphone ใน Generation ก่อนหน้าของเขาไปไกลเลย ถ้าเราจำ Xiaomi 11 Ultra 5G ในปีก่อนหน้านี้ได้ เราจะเห็น ถึงแม้ Module กล้องจะใหญ่เหมือนกัน แต่การจัดวางสิ่งต่าง ๆ นั้น ยังไม่ลงตัวเท่าตัวนี้
พื้นผิวของฝาหลังนั้น จากที่เคยเป็น Ceramic สีขาว ที่มีความมันวาว และหรูหรา รอบนี้เปลี่ยนมาเป็น Vegan Leather ที่ทำ Texture มาค่อนข้างหยาบ มีความใกล้เคียงกับ หนังที่เอาไว้ใช้ในการหุ้ม Grip ของกล้องถ่ายภาพ จริง ๆ ส่วนนี้แก้วชอบมากเวลาจับถือ
เวลาจับถือใช้งานจริง ในรูปแบบของ Field Test ถ่ายภาพยาว ๆ ตลอดทั้งวัน ถึงแม้ว่ามือเราจะเหงื่อ ออกมือกันบ้าง แต่การจับถือ ก็ไม่ได้รู้ว่ามันเหนียวมือ หรือไม่สบายมือแต่อย่างใดครับ แต่ว่าในเรื่องของคราบที่เกิดขึ้นบนตัวหนังเนี่ย ถือว่าค่อนข้างชัดเจนทีเดียวนะครับ
ความหนาของตัวเครื่องนั้น ต้องบอกว่าส่วนที่เป็นตัวเครื่องจริง ๆ มีการจัดการความหนามาให้บางที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้ บางกว่าตัว Xiaomi 12 Pro 5G อีก นั่นก็เพราะว่าส่วนของ Module กล้องนั้น มีความหนามากพอสมควร และยังมีการเล่น Layer ชั้นกล้อง 2 ระดับ อีกด้วย
ถึงจะไม่ได้ Logo LEICA จุดแดงแรงฤทธิ์มา แต่ก็สวยใช้ได้
มาดู Detail ในส่วนของตัวหน้าตา Module กล้องกันต่อสักนิดหนึ่งครับ ด้วยความที่เป็นการ Co-Engineered กับ LEICA ตอนแรกมีความคาดหวัง จะได้จุดแดงของ LEICA มา แต่ได้มาแค่คำว่า LEICA กับ Slogan ภายในตัว Module กล้องที่เขียนว่า Capture the moment และ บอกถึงขนาด Sensor ว่าเป็น 1 Inch Ultra CMOS
DISPLAY : หน้าจอแสดงผล
สำหรับหน้าจอของ Xiaomi 12S Ultra 5G ตัวนี้นั้นจะใช้หน้าจอแบบ AMOLED LTPO 2.0 ขนาด 6.73 นิ้ว ซึ่งถือว่าค่อนข้างจะใหญ่ทีเดียว และขอบหน้าจอก็บางมาก ๆ มาพร้อมกับ ความละเอียดหน้าจอ WQHD+ และมีค่า Refresh Rate ที่ 120Hz | Touch Sampling อยู่ที่ 240Hz
บริเวณด้านบนตรงกลางหน้าจอ จะเป็นที่อยู่ของกล้องหน้าแบบเจาะรู ความละเอียด 32MP ซึ่งส่วนของจุดกล้อง อยู่ในขนาดที่เล็กใช้ได้นะ ไม่ได้รู้สึกว่าใหญ่จนรำคาญเวลาใช้งาน
สำหรับในแง่ของการใช้งานทั่วไปของหน้าจอตัวนี้ อยู่ในระดับที่น่าพอใจมากครับ Touch ได้ติดนิ้วดีทีเดียว การแสดงผลสีสันก็อยู่ในระดับที่ สู้กับ Flagship จากค่ายอื่น ๆ ได้สบาย
แต่สำหรับการเอาไปเล่นเกมนั้น มีจุดที่แก้วแอบรู้สึกว่า เขาน่าจะทำได้ดีกว่านี้ ก็คือ เรื่องของ Touch Sampling นั่นเองครับ คือ ถ้าเราเล่นเกมที่มันไม่ได้มีความจำเป็นจะต้องสแปมปุ่มรัว ๆ บ่อย เหมือนพวก Game MOBA | FPS นั้น Touch Sampling 240Hz ของหน้าจอตัวนี้ก็เพียงพอครับ
จุดนี้เป็นอีกจุดที่น่าเสียดายก็คือ ตัว On Screen Fingerprint Scanner นั้น ยังเป็นแบบ Optical อยู่เลย ซึ่งจริง ๆ ถ้าเป็นตัวสุดตาราง หรือ Super Flagship ของแต่ละค่ายนั้น จะเป็น Ultrasonic กันหมดแล้ว ที่แตะ Scan นิ้วทีเดียวแล้วจบเลย สะดวกมาก ๆ และปลอดภัยกว่า
CAMERA : กล้องถ่ายภาพ
ทีนี้เรามาต่อกันที่ เรื่องของกล้องถ่ายภาพกันดีกว่าครับ ที่หลายคนรอคอยกันมานาน สำหรับ Xiaomi 12S Ultra มากล้องหลังทั้งหมด 3 ตัว
- Main Camera 50MP | f/1.9 | IMX989 OIS
- Ultra Wide Angle 48MP | f/2.2 มี Autofocus OIS
- 5x Telephoto Periscope 48MP f/4.1 OIS
- Front Camera 50MP | f/2.0
พร้อม เทคโนโลยี Dual-Pixel PDAF | TOF 3D | IR Light Filter
มี Filter สี LEICA ให้เลือกประมาณ 4 แบบนะครับ มี Leica Vivid | Natural | Monochrome | HC
MAIN CAMERA : กล้องหลักความละเอียด 50MP
สำหรับกล้องหลักตัวนี้ ที่มีการเปลี่ยนมาใช้ Sensor ขนาดหนึ่งนิ้วจากทาง Sony อย่าง IMX989 และชิ้นเลนส์จากทาง LEICA จุดที่แก้วสังเกตได้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนมาก ๆ ก็คือ ความเป็นธรรมชาติของเนื้อไฟล์ภาพ ที่ลดการใช้ Software Process ลงมามากทีเดียว
ตัว Dynamic Range ของตัวกล้องที่ Direct มาจาก Sensor เลยนั้น ค่อนข้างจะมีความกว้างมาก กว้างในระดับที่ แก้วไม่จำเป็นจะต้องเปิด HDR ขึ้นมาช่วยเวลาถ่ายภาพเลย และระบบวัดแสงทำงานได้ฉลาดดี พยายามคง Detail ในส่วน Highlight เอาไว้ และไม่ Drop ส่วนของเงาทิ้งไปเยอะจนเกินไป
ความสามารถในการนำไปถ่ายภาพย้อนแสงตรง ๆ แบบไม่เปิด HDR สำหรับแก้วนะ มัน Perform ออกมาได้ค่อนข้างน่าสนใจ เราจะรู้สึกได้ว่า ภาพจะมีการ Process มากขึ้นกว่าปกติเวลาเราถ่ายภาพตามแนวแสง แต่ยังคงความเป็นธรรมชาติเอาไว้ได้อยู่
มาดูกันในเรื่องของ Coating หน้าเลนส์กันบ้างครับ จริง ๆ ในแง่ของแสงสะท้อน ที่แบบเราชอบจะเห็น Ghost จากเลนส์ได้ใน iPhone นั้น ถือว่าน้อยมาก ๆ แทบจะไม่มีเลย ความฟุ้งของแสงเวลาย้อนแบบตรง ๆ ก็เป็น Character ที่มีมาตั้งแต่ Xiaomi 11 Ultra แล้ว ซึ่งแก้วว่าโอเคนะ สวยดี
เรามาต่อกันที่ Depth of field ของกล้องหลักตัวนี้กันบ้างครับ คือ สำหรับแก้วนะ นี่มันกล้องแล้วครับ ลักษณะของ Depth ที่ได้นี่ มันกล้องถ่ายภาพจริง ๆ แล้ว ถามว่ามี Smartphone ที่สามารถถ่ายได้ Depth หนักขนาดนี้ไหม ? มีครับ ก็คือ vivo X80 Pro และ vivo X70 Pro+
ภาพซ้ายถือ vivo X80 Pro กล้องหลัก ภาพขวาคือ Xiaomi 12S Ultra กล้องหลัก ทั้งสองภาพนี้ ปิด HDR เราจะสังเกตเห็นได้ชัดเจนว่า ถึงแม้จะมี Depth of field ที่ใกล้เคียงกัน แต่ Dynamic Range เนี่ย จาก vivo X80 Pro Highlight หลุดไปแล้วครับ
สายถ่ายภาพอาหารนี่แก้วบอกเลยว่า โคตรฟิน ด้วยความที่ Sensor กล้องนั้นมีขนาดใหญ่ และความละเอียดสูง ในการที่เราจะถ่ายภาพด้วยการใช้ Digital Zoom 2x เพื่อปรับ Frame ภาพใหม่ Depth of field ที่เกิดขึ้นนั้นคือ ไร้ที่ติจริง ๆ Software ไม่ต้องแล้ว
ในวันเปิดตัวมีคนบ่นว่า ทำไมไม่ให้กล้อง Tele-macro มาด้วยนะ อันนี้แก้วถ่าย Digital Zoom 2x มาให้ดูนะครับ ด้วยระยะโฟกัสประมาณนี้ แล้ว Crop เข้าไปใช้ต่อได้สบาย ๆ โดยที่ยังได้ความละเอียดสูงถึง 12MP เลยนะ ดีกว่า 5MP เป็นไหน ๆ
PORTRAIT PHOTOGRAPHY : การถ่ายภาพบุคคล
ในการถ่ายภาพ Portrait ของ Xiaomi 12S Ultra ตัวนี้นะครับ ต้องบอกว่า เรามี Option ในการถ่ายภาพค่อนข้างเยอะทีเดียว สมมุติว่าถ้าเราชอบโทนสี ที่มีความเนียนสวย สีสดตาม Style Xiaomi ดั้งเดิม และ แบบที่มี Preset ที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก LEICA มา เหมือนสองภาพนี้ ภาพซ้าย คือ Xiaomi Tone ภาพขวาคือ LEICA Swirly Tone ครับ
จุดที่แก้วต้องชมในเรื่องของ Bokeh Standard จากทาง Xiaomi คือ Software ตัวกล้องมีความฉลาดในการสร้าง Depth of field ที่มันไม่เบลอ over จนเกินไป จนทำให้ภาพมันดูลอยและไม่เป็นธรรมชาติ อย่างภาพนี้ เหมือนกับแก้วใช้กล้อง APS-C ที่เลนส์ 18mm f/2 เลย
LEICA Tone & Bokeh จะมีให้เลือกด้วยกันทั้งหมด 3 แบบนะครับ
Black & White | 35mm
Swirly Bokeh | 50mm
Sofe Focus | 90mm
มาดูภาพตัวอย่างจาก Portrait Preset แบบ Black & White กันก่อนเลยนะครับ พอเรากดเข้าโหมดนี้มาปุ๊บ Focal Length ของกล้องนั้น จะถูกปรับมาเป็น 35mm แบบ Crop on sensor ทันที แต่ไม่ได้ crop อะไรมากมายนะ ไม่เท่า 2x ตัว Contrast ค่อนข้างจะเข้มมาก
ซึ่งส่วนตัวแก้วเองใช้ Smartphone ที่มี LEICA มาทำกล้องให้ แล้วตัวมาก ไม่ว่าจะเป็น HUAWEI P-Series ตั้งแต่ P10 มาจนถึง HUAWEI Mate 40 Pro และ Smartphone จากทาง LEICA ตรงเอง อย่าง LEICA LEITZ PHONE 1 เมื่อนำ Tone ขาวดำ มาเปรียบเทียบกับ Xiaomi 12S Ultra ตัวนี้จุดที่หายไปก็คือ สิ่งที่เรียบว่า Fade Film หรือความฟุ้ง ๆ สีขาวเหมือนหมอก บริเวณเหลือส่วนที่เป็นสีดำในภาพ ตัวนี้แทบไม่มีเลย
อีกหนึ่งจุดที่อยากให้สังเกตกันดี ๆ นะครับ ก็คือ ส่วนของผิวหน้า ใน Mode LEICA Preset นั้น Beauty Mode จะไม่ได้ทำงานนะครับ พวก Texture ของผิว และ Skintone จะถูกปรับให้แบบ อัตโนมัติที่เขาตั้งไว้ให้ เราไม่สามารถไปปรับแต่งอะไรมันเพิ่มเติมได้นะครับ
มาต่อกันที่ Swirly Bokeh กันครับ ซึ่งตอนแรกเห็นชื่อ Bokeh คิดว่า มันน่าจะต้องหมุนวนหนัก ๆ แน่ ๆ มีความแบบ Fancy นิด ๆ แต่พอได้เอามาใช้ถ่ายจริง โอ้ ! Bokeh ตัวนี้จูนเรื่องของความสมจริงมากได้แบบดีมาก ๆ
แก้วอยากให้ลองสังเกตจุดที่ Bokeh มันขึ้นมาครับ Software ที่ทาง Xiaomi และ LEICA คิดมาให้ โดยยึดหลักในการเน้นความสมจริงเป็นหลัก แต่ยังไม่ทิ้งความสวยงามออกไปนั้น มันถูกใจแก้วจริง ๆ คือเขาเก่งมากในการ หาตรงกลางระหว่างสองเรื่องนี้เจอ
การแยกมิติของตัว Object และฉากหลังนั้น ทำได้ค่อนข้างดี และเป็นธรรมชาติ แต่จากที่ทุกคนเห็นในภาพ ในช่วงปลายผมนั้น จะเริ่มมีปัญหาแล้ว ถ้าสภาพแสงมันไม่เอื้ออำนวย หรือเราถ่ายภาพในที่แสงน้อย
อีกหนึ่งจุดที่เมื่อเราดูมาจนถึงภาพนี้แล้วบางคนอาจจะยังไม่ทันสังเกตเห็น นั่นก็คือ สิ่งที่เรียกว่า Vignette หรือ ขอบสีดำฟุ้ง ๆ นั่นเองครับ ถ้าเป็น Bokeh ใน Mode อื่น ๆ จะไม่ได้มีการใส่เข้ามาให้นะครับ จะมี เฉพาะในโหมดนี้ เพราะว่ามีการหยิบ Character มาจาก LEICA Summilux 50mm ASPH f/1.4
FANCY BOKEH VS NATURAL DEPTH
ที่แก้วบอกไปว่า Bokeh มันไม่ได้มีความ Fancy อะไรมากมาย แก้วหยิบภาพ Portrait จาก vivo X80 Pro 2x ZEISS Bokeh มาเปรียบเทียบให้ดูครับ คือ อธิบายแบบนี้ครับ ต่อให้เราจะใช้เลนส์ ZEISS จริง ๆ การหมุนวนของ Bokeh และตำแหน่งที่มันจะเกิด ก็จะไม่เหมือนใน X80 Pro นะ มันควรจะขึ้นแค่ส่วนที่มีแสงสะท้อนเท่านั้น ก็คือ ผิวน้ำ ซึ่งถ้าในแง่ของความสมจริงแล้ว Xiaomi 12S Ultra จะตรง Taste คนกลุ่มนั้นมากกว่า แต่ถ้าชอบความสวยงาม เน้น Character ภาพ ZEISS Bokeh ก็ไม่ได้ด้อยกว่าหรอกครับ
มาต่อกันที่ Bokeh ตัวสุดท้ายนะครับ นั่นก็คือ Soft Focus 90mm นั่นเองครับ ในความเห็นแก้วนะ ตัวนี้เป็น Bokeh ที่แก้วชอบน้อยที่สุด และหา Use case มาใช้งานได้ค่อนข้างยาก เพราะมันฟุ้งชวนฝันเกินไปนิดนึงครับ จริง ๆ ถ้าอยากได้ระยะประมาณนี้ ใช้กล้อง 5x ถ่ายเอาสวยกว่า
แต่ไม่ใช่ว่าจะมีแต่เรื่องให้ชมนะครับ การตัดขอบของ Xiaomi 12S Ultra ตัวนี้ ในสภาพแสงที่ไม่เอื้ออำนวย คือ มีปัญหาหนักมาก ถ้าย้อนแสงเมื่อไหร่ หรือใช้ถ่ายภาพในที่แสงน้อย คือ ถ่าย 10 รูป ตัดไม่เนียนไปแล้ว 6 รูป ตรงนี้อยากให้แก้ให้ไวเลยครับ แล้วจะ Perfect แล้ว
ULTRA WIDE ANGLE : กล้องมุมกว้าง 48MP
มาต่อกันที่กล้องมุมกว้างพิเศษ ความละเอียดสูง 48MP สำหรับกล้องตัวนี้นั้น น่าจะเป็นกล้องที่ดูธรรมดา ที่สุด และไม่ได้มีการ Improve อะไรมากมายนักในชุดกล้องหลังตัวนี้ เมื่อเทียบกับ Xiaomi 11 Ultra เมื่อปีก่อนหน้านี้
ในแง่ของเรื่อง Dynamic Range นั้น ตัวนี้ สู้กล้องหลักไม่ได้เลย แม้แต่นิดเดียว ต้องเปิด HDR ช่วยถึงจะได้ Balance แสงในย่านต่าง ๆ ออกมาได้ดี โดยที่ Detail นั้นไม่จม ในส่วนของ Shadow ที่ถูกขุด ขึ้นมาด้วย HDR Software มีการใช้ Noise Reduction เข้ามาช่วยพอสมควร ทำให้บริเวณมุม ๆ ภาพ อาจจะดูวุ้น ๆ ไปบ้างครับ
ภาพนี้แก้วลองเปลี่ยนโทนสีมาเป็น LEICA Vivid บอกเลยว่า ไม่ใช่ทาง 555 สดใสเกิ๊น รู้สึกอยากกลับไปใช้ LEICA Natural Tone ทันที ที่กดเปลี่ยนมาเลย แสบตาสุด ซึ่งความจี๊ดจ๊าดของสีเนี่ย ถ้าเราเปิด LEICA Vivid คือมันสดทุกกล้องเลยนะครับ
เปลี่ยนกลับมาใช้ LEICA Natural Tone แล้ว ค่อยยังชั่วหน่อย
และตัวกล้อง Ultra Wide Angle ตัวนี้สามารถที่จะใช้ในการถ่ายภาพ Macro ได้ด้วย ด้วยระยะโฟกัสประมาณ 4-5 ซม. แต่ก็จะมี Perspective ของภาพที่บวม ๆ หน่อย ไปใช้ 2x Zoom ดีกว่าครับ
5x TELEPHOTO CAMERA : กล้องถ่ายภาพระยะไกล 48MP
นี่คือกล้องถ่ายภาพที่แก้วชอบที่สุดในช่องกล้องหลังของ Xiaomi 12S Ultra เครื่องนี้ มันไม่ใช่แค่เรื่องของการ Zoom แต่เพียงอย่างเดียวนะ แต่เรื่องรายละเอียดต่าง ๆ นั้น มันให้คุณภาพไฟล์ที่อยู่ในระดับเดียวกับกล้อง Ultra Wide เลย ที่ไม่เอาไปเทียบกล้องหลักเพราะว่า Sensor มันคนละชั้นกัน
ในระยะซูมที่ 10x แบบ Hybrid นั้น ความสามารถของกล้องที่มี Sensor ความละเอียดสูง ๆ นั้นก็ออกมา เพราะคุณภาพไฟล์ที่ได้ ต่อให้จะไปเปิดบนหน้าจอความละเอียด 4K แบบจอที่แก้วใช้ทำงานอยู่ คุณภาพยังดีอยู่เลย ทั้งคม ทั้งให้รายละเอียดในแต่ละช่วงความสว่างได้ดี
สาย Minimal สาย Urban Photography เนี่ยแก้วบอกเลยว่า หลงรักแน่นอน สนุกมาก
ระยะโฟกัสใกล้สุดของกล้องตัวนี้อยู่ที่ประมาณ 80cm หรือ 90cm แถว ๆ นี้ แต่ที่แน่ ๆ ไม่ถึง 1 เมตรแน่ ๆ ทำให้เราสามารถจะใช้กล้องตัวนี้ในการถ่ายภาพ หน้าชัดหลังเบลอ ซูมดอกไม้ ซูมแมลง ในระยะไกล ๆ ได้ Bokeh ที่เกิดขึ้นในฉากหลังก็จะเป็นแบบ 4 เหลี่ยมตามหน้าเลนส์ Periscope
ซึ่งแน่นอนว่า ถ้าเราเป็นคนช่างสังเกตสักหน่อย หรือเป็นคนที่ถ่ายภาพด้วยกล้องระยะนี้บ่อย ๆ มันจะทำให้เราสามารถสร้างสรรค์ภาพในมุมมองที่ใคร ๆ อาจจะคาดไม่ถึงได้หลากหลาย และสนุก ๆ กับการถ่ายภาพมาก ๆ
ภาพนี้เป็นมุมทางลงทางด่วน มุมเดียวกับที่แก้วถ่ายในรุ่น Xiaomi 11 Ultra เมื่อปีที่แล้วเลย ลองเอาไปเทียบดูนะครับว่า ชอบภาพแบบไหนมากกว่ากันนะ
Zoom ข้ามแม่น้ำไปด้วยระยะ Optical 5x คือ คาดหวังคุณภาพของไฟล์ได้แบบสบาย ๆ อีกจุดที่แก้วอยากพูดถึงก็คือ OIS ของตัวกล้องครับ แก้วสามารถยกถ่ายด้วยมือข้างเดียวได้เลย ไม่ต้องเพ่ง ต้องเล็งมาก ทำให้การหยิบกล้องตัวนี้มาใช้งาน ทำได้รวดเร็ว และแม่นยำกว่าเดิมพอสมควร
NIGHT TIME PHOTOGRAPHY : การถ่ายภาพในที่แสงน้อย
ก่อนอื่นเลย แก้วค่อนข้างแนะนำสำหรับคนที่จะใช้ Smartphone เครื่องนี้ในการถ่ายภาพกลางคืน คือให้ลองถ่ายใน Mode ปกติก่อน ว่าภาพที่ได้สว่างพอไหม ? เพราะว่ามันจะให้ไฟล์ภาพที่ดูเป็นธรรมชาติมากกว่าค่อนข้างเยอะ
อย่างแก้วเองเลือกที่จะเข้า Mode Pro แล้วไปคุมแสงเองค่อนข้างที่จะดึงศักยภาพของ Hardware ตัวกล้องออกมาได้ดีกว่า และให้ความที่ผ่านการ Process น้อยที่สุด
แต่ถ้าเกิดว่า ไม่ได้จริง ๆ รู้สึกว่าอยากเน้นง่ายไว้ก่อน อยากใช้ Night Mode ก็ใช้งานได้ครับ ให้ภาพที่สว่างกำลังดี ไม่ Over จนเกินไป แต่มีจุดสังเกตเล็กน้อยนะครับ ยิ่งภาพแสงในภาพมืดเท่าไหร่ ภาพจะยิ่งผ่านการ Process จาก Software มากขึ้นเท่านั้น
อย่างในภาพนี้เนี่ย เราจะสังเกตเห็นได้เลยว่า Clarity และ Sharpness ในภาพถูก Boost ขึ้นมาแบบหนักมากทำให้เราอาจจะสูญเสีย Character ความ Soft ของภาพที่ได้ใน Mode Auto ไปเลย
ใน Xiaomi 12S Ultra นั้นเราสามารถจะใช้ Night Mode ได้ในทุกกล้องเลยนะครับ แต่กล้องที่สามารถ Perform Night Mode ได้ดีที่สุดคือ กล้องหลัก และกล้อง 5x Telephoto ครับ
จากที่รู้สึกธรรมดา ๆ มาก ๆ ในกล้อง Ultra Wide Angle เวลาถ่ายกลางวัน พอมาเจอ Night Mode ในกล้อง Ultra Wide Angle เข้าไปบอกเลยว่า อึ้งไปเลยครับ ไฟล์ภาพแข็งมาก เหมือนกับ ลาก Clarity ไปแบบ สุด Slider เลย ละ Noise Reduction ก็พยายามลด Noise จนเป็นวุ้น คือ แก้วคิดว่า Hardware อะ มันไปไหวนะ แต่ตอนถ่ายภาพนี้ Night Mode ขึ้นแค่ 0.5 วินาทีเท่านั้นเอง ถ้า Software เปลี่ยนเป็นสัก 1.5 วินาที แล้วให้กล้อง ลด Shutter Speed ลงมารับแสงให้มากกว่าเดิม ก็อาจจะไม่จำเป็นต้องใส่ Clarity เข้าไปหนักขนาดนี้ก็ได้
OTHER PHOTOGRAPHY FEATURES
Xiaomi 12S Ultra ก็มี Mode การถ่ายภาพอื่น ๆ มาให้ครบถ้วน ไม่ต่างไปจาก Xiaomi 12 Pro เท่าไหร่ ทั้ง Long Exposure ที่เอามาถ่ายกลางคืนแล้ว สวยกว่าถ่ายด้วย Night Mode ปกติ โคตรจะงง อะไรกันครับเนี่ย 555
Mode การลากเส้นไฟสไตล์ Xiaomi ก็มีให้ แต่แก้วขอพูดตรงนี้นิดนึงนะครับว่า อยากให้ปรับรูปแบบในการลากเส้นไฟแบบนี้ได้แล้ว เส้นมันไม่ต่อเนื่องกัน มันเหมือนเป็นการถ่ายภาพรัว ๆ แล้วเอามาตัดแปะมากกว่า ไม่ค่อยประทับใจเท่าไหร่
PRO MODE & RAW FILES
สำหรับผู้ใช้งานสาย Professional แก้วขอแสดงความยินดีตรงนี้ด้วยนะครับ ทุกครั้งที่เราตั้งค่าต่าง ๆ เอาไว้ใน Mode Pro แล้วเรามีการสลับตัวเลนส์ การตั้งค่าเหล่านั้น จะไม่ถูก Reset นะครับ เราสามารถใช้การตั้งค่านี้กับทุกกล้องได้เลย ซึ่งหาได้ยากมากเพราะปกติแล้ว ถ้าเป็นแบรนด์อื่น ค่าตรงนี้จะถูก Reset
RAW FILE ( SENSOR RAW )
อันนี้เป็นจุดที่อยากชม และในขณะเดียวกันก็เป็นจุดที่รู้สึกว่า ธรรมดาด้วย โดยปกติแล้วเราจะเห็นว่า Smartphone จากทางฝั่งจีนหลาย ๆ แบรนด์ จะเก่งในเรื่องของการถ่ายไฟล์ RAW ด้วย Computational RAW มาก ๆ ทั้ง OnePlus 10 Pro , OPPOFindX5Pro ที่มี RAW Plus ซึ่งมันจะทำให้คุณภาพของไฟล์ภาพนั้นออกมาดีกว่า และยืดหยุ่นกว่า Sensor RAW พอสมควร
แก้ว Process RAW File ด้วย Lightroom CC ซึ่งความสามารถในการ Process ทั้งขุดแสง ทั้งขุด Shadow อยู่ในระดับที่ใช้ได้ แต่ในย่าน Highlight นั้น อาจจะเก็บรายละเอียดช่วงสีมาได้ไม่ได้กว้างอย่างที่คาดหวังไว้ ไม่ใช่ไม่ดีนะ แต่ผมคาดหวังสูงกว่านี้เฉย ๆ
แต่อย่างที่แก้วบอกเนาะ ว่าไม่ใช่มันไม่ดีมันดีมาก และใช้งานได้จริงครับ
FRONT CAMERA : กล้องหน้าความละเอียด 32MP
เป็นกล้องหน้าที่อาจจะไม่ได้มีอะไรหวือหวา เมื่อเทียบกับ Smartphone Flagship ด้วยกันเอง และ Smartphone ที่ออกแบบมาเพื่อเน้นกล้องหน้าจริง ๆ แต่ใช้งานได้ดีครับ เผลอ ๆ การตัดขอบจะเนียนกว่ากล้องหลังอีกในบางสภาพแสง
VIDEOGRAPHY : การถ่ายวีดีโอ
สำหรับการถ่าย Video ใน Xiaomi 12S Ultra ตัวนี้นั้น ความละเอียดสูงสุดที่ได้จะอยู่ที่ 8K 24fps นะครับ แต่ตัว ความละเอียดสูงสุดที่ใช้งานได้ในทุกกล้องหลัง ก็คือ 4K 30fps นั่นเองครับ การกันสั่นอยู่ในระดับที่ดี แต่ไม่ได้ดีขึ้นมากกว่า Xiaomi 11 Ultra แบบสังเกตได้นะ เพราะรุ่นที่แล้วทำมาตราฐานไว้สูงมากทีเดียว
ส่วน Video ในกล้องหน้านั้น ทำใจนะครับ 1080p 30fps เท่านั้นครับ แต่เสียงไมค์โครโฟนที่เขาให้มานี่ ใช้ได้เลยเสียงคมชัดดีมากครับ ลองไปดูคลิบตัวอย่างได้ในลิ้งด้านล่างนี้นะครับ
PERFORMANCE & BATTERY LIFE
ด้วยความที่ระยะเวลาในการ Test ตัวนี้ของแก้วค่อนข้างสั้นเนาะ เลยจะเล่าประสบการณ์แค่ช่วง 5 วันนี้ และ Software ติดเครื่องนะครับ สำหรับ Performance ตัวเครื่องในการเล่นเกมนั้น คือ ในช่วง 1 ชั่วโมงแรกนั้น ค่อนข้างสเถียรดีมาก แต่พอเล่นต่อเนื่องนาน ๆ ที่ Setting แบบ Ultra มี Frame Rate ตกมาประมาณ 4-5 Frame ได้ครับ
สำหรับ Battery Life ของแก้ว แบบ Field Test นะครับ ใช้งานเปิด 4G เน้นถ่ายภาพ ด้วยแสงหน้าจอเปิดจุด ผ่านไป 8 ชั่วโมงเหลือ Battery 51% โคตรถึก หลายคนอาจจะบอกว่า ของฉันก็ทำได้นะ อยากให้ลองไปใช้งานมือถือที่มี Sensor 1 นิ้วกันดูครับ การจะทำให้มันอึดได้ขนาดนี้ ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ
OVERVIEW & OPINION
ก่อนจะได้มาจับเครื่องจริงของ Xiaomi 12S Ultra ตัวนี้แก้วบอกเลยว่า ค่อนข้างที่จะคาดหวังมาก เพราะเจ็บใจ จากการใช้ Smartphone ที่มีกล้อง Sensor ใหญ่มาทุกตัว ทั้งร้อน ทั้งแบตไหล พอมาเจอ Xiaomi 12S Ultra ตัวนี้ คือ " ไม่ผิดหวัง "
สามารถจะถ่ายภาพต่อเนื่องยาว ๆ ได้ทั้งวัน โดยที่ไม่ต้องมานั่งกลัวว่า กล้องจะตัด แบตจะหมด ต้องพก Power Bank การจัดการพลังงานตัวนี้เนี่ยทำมาดีมากจริง ๆ และ ไม่ร้อนจนถึงขนาดจับถือไม่ได้ อาจจะมีติเรื่อง ฝาหลังที่เป็นหนังนั้น มันค่อนข้างอมความร้อน เวลาใช้งานกลางแดดนิดหน่อย
สำหรับในเรื่องกล้อง นี่คืออีกก้าวสำคัญของวงการกล้อง Smartphone ตัว Sensor 1 นิ้วที่ใช้งานได้จริง ไม่ร้อน ไม่ตัด ไฟล์มี Dynamic Range สูงด้วยตัวมันเอง โดยที่ไม่ต้องพึ่ง HDR เลยก็ได้ ลักษณะการละลายฉากหลังที่ Creamy นุ่มละมุน เหมือนกับกล้องถ่ายภาพจริง ๆ ทำให้ Feeling ในการใช้งานถ่ายนั้นถูกยกระดับขึ้นอย่างชัดเจน กล้องตัวอื่น ๆ Perform ได้ดี ไม่ต่างจาก Xiaomi 11 Ultra เมื่อปีที่แล้วมากนัก ยกเว้น Ultra Wide Night Mode ที่อยากให้ แก้ Software ลด Clarity ลงครับ
การที่ขยาย Sensor มาได้ระดับนี้ และยังสามารถเป็น Smartphone ในชีวิตประจำวันได้อยู่ Xiaomi คุณมาได้ " ถูกทางแล้วครับ "
[ ติดตาม Mobile Photographer ได้ที่ ] Fanpage : https://www.facebook.com/mobile.fotographer IG : kaew.ravie #Mobilephotographer #โมบายโฟโตกราฟเฟอร์ #ถ่ายรูปด้วยมือถือ #Xiaomi #Xiaomi12SUltra
Comments